“นุ่น ศิรพันธ์ จาก Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ”

คาแรกเตอร์
ในเรื่อง Home นุ่นรับบทเป็นปรียาค่ะ ปรียาโดยพื้นเพแล้วเป็นคนเชียงใหม่ เกิดที่เชียงใหม่เรียนหนังสือที่เชียงใหม่มีสังคมมีเพื่อน พอถึงจุดๆ นึงต้องย้ายไปเรียนที่กรุงเทพแล้วก็ไปพบรักกับเสี่ยเล้งที่เป็นเจ้านายเรา เหมือนไปทำงานให้เค้าแล้วก็ไปรักกับเค้า สุดท้ายก็กลับมาแต่งงานที่เชียงใหม่
ลึกๆ แล้วตัวปรียาเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะวิตกจริตง่ายกังวลคิดมากเพราะว่าโดยพื้นฐานน่าจะเกิดจากการที่อยู่กับน้องแค่สองคนแล้วโตมากับญาติๆ ก็เลยเป็นพวกที่คิดเล็กคิดน้อยคิดมากคิดฟุ้งซ่านแต่งเติมเองตลอดเลย ในเรื่องนี้ใครพูดอะไรหน่อยก็เอากลับมาคิด ใครแสดงท่าทางกริยาที่เราระแวดระวังก็เอากลับมาคิด มันจะเป็นอย่างนั้นไหม อย่างนี้ไหม มันจะดีหรอ อะไรประมาณนี้ค่ะ ไม่ค่อยจะมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเท่าไหร่ เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้
ง่ายมากไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจอะไรมากมายหรือนานเลย จริงๆ นุ่นรู้จักกับมะเดี่ยวเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว นุ่นเคยเอาบทหนัง ทรีทเมนท์หนังไปให้มะเดี่ยวช่วยคอมเม้นท์ พอคุยไปคุยมาอ้าวเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันเหรอเนี่ย (พูดเหนือ) แล้วมะเดี่ยวก็มาเรียนที่เชียงใหม่ตั้งแต่เด็ก แต่นุ่นเหมือนมาอาศัยเชียงใหม่เขาเกิด ไปๆ มาๆอยู่หลายที่มากพอรู้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็เลยคุยกันถูกคอ อายุก็เท่ากันก็เลยเริ่มจากความเป็นเพื่อนมาก่อน แล้ววันนึงมะเดี่ยวก็บอกว่า “นี่เธอฉันมีบทนึงเธอต้องอินแน่ๆ เลย” แล้วมะเดี่ยวก็โทรมาอีกทีเพื่อจะคุยเรื่องบทให้ฟัง แต่นุ่นยังไม่ทันฟังก็โอเคเล่นเลย เพราะส่วนตัวอยากทำงานกับมะเดี่ยวอยู่แล้วค่ะ
เหมือนมันเป็นสัญญาใจกัน ต้องบอกว่ามะเดี่ยวเป็นคนเก่ง เราเคยดูงานรักแห่งสยามของมะเดี่ยวมา แล้วพอมาได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว มะเดี่ยวเป็นคนที่มีมุมมองความคิดที่เป็นผู้กำกับที่ดีมาก ทัศนคติส่วนตัวเขาโอเค เราเลยรู้สึกว่าเราอยากทำงานกับคนแบบนี้มันน่าจะสนุกเลยเป็นความตั้งใจลึกๆ ว่าถ้าเขาชวนจะไม่ถามเลยว่าบทอะไรเพราะว่าเขาจะต้องเลือกนักแสดงที่มันเหมาะสมกับบทแล้ว ส่วนตัวคิดว่าเขาคงคิดแล้วก็เลยโอเค ยังไม่ถามเรื่องเลยด้วยซ้ำ ให้เล่นอะไรก็จะเล่นกับมะเดี่ยวนี่แหละ (หัวเราะ)

 

 อ่านบทเรื่องนี้ครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง

อ่านบทเรื่องนี้ครั้งแรกเป็นบทที่ยังไม่ได้เต็มสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังเป็นร่างเลย ตอนได้อ่านครั้งแรกอยู่ๆ ก็นั่งร้องไห้ ตอนอ่านทรีทเม้นท์แล้วนั่งร้องไห้คนเดียว อินมาก รู้สึกว่ามันเขียนจากตัวคนจริงๆ เวลาคนที่ชีวิตจริงยังไม่เคยแต่งงาน ยังไม่เคยอยู่ในโมเม้นท์ที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน แต่ว่าบทมันสะท้อนถึงความคิดความกังวลของคนที่คิดมาก คิดไปเองวิตกจริตกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง จากเรื่องเล็กมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งที่ชอบจากบทที่ทำให้เราร้องไห้คือว่า ในมุมมองความรักของเรื่องนี้มันลึกซึ้ง มันไม่ใช่ความรักที่แบบในหนังพระเอกกับนางเอกมาเจอกันแล้วบอกนางเอกว่าผมรักคุณนะ แค่กอดเองด้วยซ้ำมันยังไม่มีคำว่ารักเลย แต่ทุกคำพูดมันมีความลึกซึ้งอยู่ เป็นคนจริงๆ อ่านแล้วก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่บ้าน ไม่ผิดหวังเลยที่ไม่ได้ทันฟังมะเดี่ยวเล่าบทให้ฟังแต่แรก คือคิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่เล่น

แล้วพอมาเล่นจริง มีความแตกต่างหรือติดขัดอะไรจากที่คาดหวังเอาไว้บ้างไหม
มีค่ะ ตอนมาเล่นก็จะมีติดขัดจุดที่สำคัญเลยคือเรื่องของภาษา ถึงนุ่นจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ก็ไม่ได้ฝึกอู้คำเมืองมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นนุ่นก็จะไม่สามารถพูดสำเนียงที่ถูกต้องได้จริงๆ มันไม่ใช่แบบเชียงใหม่แท้ๆ เพราะนุ่นก็ไปโตลำปางมั้ง ไปโตที่พะเยาะบ้าง ตอนเด็กๆ ต้องไปอยู่หลายจังหวัดมากแล้วสำเนียงต่อให้เหนือเหมือนกันแต่แต่ละจังหวัดก็จะมีสำเนียงที่ไม่เหมือนกัน เราไปอยู่ตรงไหนก็ไปฟังสำเนียงที่โน้นทีที่นี่ทีแล้วก็เอามาผสมกันมั่วไปหมด แต่เล่นเรื่องนี้ต้องการสำเนียงแบบคนเชียงใหม่จริงๆ เพราะมะเดี่ยวก็เป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ เพราะฉะนั้นหูเขาจะไวมากว่าอะไรใช่ไม่ใช่ คำไหนที่เพี้ยนไป
วันแรกที่นุ่นมาเล่นเครียดมากพูดคำเดียวก็ยังไม่ผ่านเลย 10 กว่าเทคได้มั้ง มันก็เลยกลายเป็นความกังวล พอเล่นเราก็จะพะวงทั้งสองอย่างไหนจะความรู้สึกของตัวละคร ไหนจะต้องออกสำเนียงให้ได้อีก แยกประสาทกันน่าดู อันนี้เลยล่ะที่นุ่นถือว่าเป็นอุปสรรคที่สุดสำหรับการเล่นเรื่องนี้ แต่ว่าก็ต้องพยายามไม่ให้มันเกิดความเครียดไม่งั้นเราก็จะเล่นไม่ได้

ได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวเห็นอะไรในตัวมะเดี่ยวบ้าง
แอบเม้าท์ผู้กำกับใช่ไหม (หัวเราะ) ตอนมาร่วมงานกันในเรื่องนี้มันไม่เหมือนกับว่าเรามาทำงานเท่าไหร่นัก เพราะอย่างที่บอกมะเดี่ยวกับนุ่นรู้จักกันมาปีกว่าเกือบ 2 ปีแล้ว พอวันนึงได้มาทำงานด้วยกันก็จะมีอีกมุมนึงที่เราอาจจะไม่เคยเห็น วิธีการพูดและมุมมองในความคิดของมะเดี่ยวไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมจากที่เราเคยรู้จัก แต่สิ่งที่มันเพิ่มเติมเข้ามาคือความจริงจังของเขา ปรกติเวลาเราคุยกันเขาจะเป็นคนอารมณ์ดีมีมุขตลอด มะเดี่ยวเป็นคนสนุกสนานและชอบให้เรามองอะไรแต่ในด้านที่ดี เขาจะคอยสอนให้เรามองให้เห็นด้านดีแล้วมันจะทำให้เกิดเป็นพลังบวก พอเรามาทำงานกับเขาเราก็เอามาใช้ บางทีนุ่นเครียดกับบทกับสำเนียงมากๆ มะเดี่ยวก็จะคอยบอกว่าไม่เป็นไรนะ เวลาที่มะเดี่ยวทำงานจะเป็นคนจริงจัง บางทีคำพูดอะไรเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป มันทำให้เรารู้สึกว่าเออ มะเดี่ยวจริงจังกับงานมาก ใส่ใจกับงานทุกจุด มันเลยมีอะไรมากกว่าการที่เรามองเคยมองเห็น ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่ดี เราได้เห็นความตั้งใจของเขาเพิ่มมาอีกมุมนึง

มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษไหมสำหรับกับมะเดี่ยว

นุ่นว่ารวมๆ แล้วก็คือสิ่งที่เขาเป็นนั่นแหละ ประทับใจสุดก็คือเรื่องที่เขาไม่เคยลืมว่าเขาเป็นคนเชียงใหม่ แล้วก็เป็นคนสนุกสนานในการอู้คำเมืองกับเพื่อนๆ แล้วก็ประทับใจในเรื่องของวิธีการทำงาน อย่างนุ่นจะเป็นคนทำงานจริงจังเหมือนกัน เวลาทำงานอาจถึงขั้นซีเรียส เครียด แล้วคนรอบข้างจะรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้นุ่น แต่กลับกันเลยมะเดี่ยวเป็นคนทำงานตั้งใจจริงจังแต่ไม่เครียดและอารมณ์ดี มันทำให้แผ่พลังงานด้านบวกให้คนรอบข้าง คนที่ทำงานกับเขาก็จะไม่เครียดไปด้วย บรรยากาศในกองมันไม่ใช่ว่า “เฮ้ย…ผู้กำกับบ่นแล้วเว้ย ไม่พอใจแล้วเว้ย” มันไม่ใช่ พอทุกคนไม่เครียดงานก็เลยยิ่งออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยประทับใจในที่สุด

บอกว่าเป็นคนเครียดง่ายแล้วเรื่องนี้เครียดไหม
นุ่นเป็นคนเครียดง่าย จริงๆ เรื่องนี้เครียดแค่อย่างเดียวคือเรื่องของการออกเสียง อย่างเรื่องอื่นเช่นเรื่องบท พอเป็นพวกเรื่องความรักนุ่นจะเป็นคนอินง่ายมาก บางทีบทอาจจะยังไปไม่ถึงจุดแต่นุ่นจะไปอินไปไกลแล้ว จะฮามากอย่างซีนธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย นุ่นก็จะอินมากจะร้องไห้แล้ว มะเดี่ยวก็จะคอยบอกว่า “เฮ้ย..อย่าเพิ่งร้องมันยังไม่ถึงขนาดนั้น” แล้วเราก็ร้องไปก่อนแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ (หัวเราะ)

ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ร่วมงานกับเจมส์เลยหรือเปล่า แล้วเป็นอย่างไรบ้าง
พี่เจมส์ก็เป็นผู้ชายตัวสูงมาก เคยเห็นในทีวีก็ว่าสูงแล้วนะแต่ตัวจริงสูงมาก แล้วก็นุ่นจะเกร็งเพราะนุ่นเคยดูพี่เจมส์เขาเล่นละครเวทีมาก่อนด้วย คือมันรู้สึกได้อย่างนึงเลยว่าคนที่เล่นละครเวทีมาก่อน นุ่นรู้สึกว่าต้องเป็นคนที่เก่งมากทุกอย่างมันสดมันใช้พลัง ใช้สมาธิสูง นุ่นเลยกังวลเครียดว่าเขาจะโอเคกับเราไหม เรายังเด็กอยู่เลยชั่วโมงบินเรายังน้อย แต่พี่เจมส์นี่ผ่านมาหมดแล้วทั้งละครเวที ละครทีวี นักร้อง ศิลปินตัวจริง แต่พี่เจมส์เขาเป็นคนโอเคมากยิงมุกปล่อยมุกตลอดเลย ตอนแรกๆ ที่พี่เจมส์เล่นมุกในกองเราก็ยังขำไม่ออกนะ ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ไหนดี จะขำก็ไม่กล้าหน้าตาพี่เจมส์ก็จริงจังมาก (หัวเราะ) ตอนนั้นเดินทางมาเชียงใหม่พร้อมกันไง แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าพี่เจมส์ก็เป็นคนตลกนี่หว่า มาตอนหลังแกก็ไม่เลิกเล่นมุขนะ ทุกคนก็เลยรู้สึกเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น ที่นี้ก็ฮากันทั้งกองเลย การทำงานมันเลยง่ายขึ้นไม่มีอะไรต้องเกร็งมากอย่างที่เราคิด

ประทับใจอะไรในตัวพี่เจมส์หลังจากเริ่มได้ร่วมงานกัน

สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือพี่เจมส์เป็นคนมีสมาธิในการทำงานสูงมากค่ะ เห็นเขาเล่นๆ บรรยากาศในกองมันจะสนุกสนานแต่สังเกตว่าเวลาก่อนเข้าฉากเขาจะมีสมาธิกับตัวเองก่อนเข้าฉาก เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นนักกับการทำงานกับพาร์เนอร์ที่ต้องเข้าฉากกับเรา เป็นอะไรที่ดูจริงจังกับการทำงานที่ดีมันก็ส่งให้เราตั้งใจไปด้วย ถ้าใครได้มาเยี่ยมชมกองถ่ายก็จะเห็นว่าบางทีพี่เจมส์ก็จะหลบออกไปห่างๆ ไปนั่งสมาธิอยู่พักนึงก่อนที่จะมาเข้าฉาก ทีมงานที่ทำงานด้วยกันเห็นกันเป็นปรกติพอรู้ว่าพี่เจมส์ไปนั่งทำสมาธิทุกคนก็จะทำอะไรกันเงียบๆ เพื่อให้พี่เจมส์มีสมาธิที่สุด แล้วก็เป็นผลดีค่ะเวลาเข้าฉากด้วยกันรู้เลยค่ะว่าพี่เจมส์ตั้งสติและมีสมาธิดีมากๆ

มีฉากไหนที่ได้ร่วมงานกับพี่เจมส์แล้วรู้สึกประทับใจมาก
จริงๆ ประทับใจทุกฉากเลย แต่มีอยู่ฉากนึงที่ตอนที่นุ่นอ่านบทแล้วร้องไห้เลย เป็นฉากที่เสี่ยเล้งซึ่งแสดงโดยพี่เจมส์นี่แหละ เสี่ยเล้งเขาพูดความรู้สึกของตัวเองบ้างหลังจากที่เราจะแทบไม่ได้เห็นเสี่ยเล้งแสดงอาการอะไรออกมาเลยตลอดทั้งเรื่อง มันมีความประทับใจในตัวบทมากกว่า มันมีประโยคประโยคนึงซึ่งบอกไม่ได้ แต่เรียกน้ำตานุ่นออกมาได้เลยระหว่างที่อ่านบทอยู่ มันเป็นอะไรที่อยากให้คนได้ไปดูกัน อยากจะบอกนะว่าในเรื่องพูดกันเรื่องอะไร แต่บอกไม่ได้จริงๆ ต้องไปดูกันเอาเอง

 

เรื่องนี้ก็ได้ร่วมงานกันกับน้องใหม่จากรักแห่งสยาม น้องพิชเป็นอย่างไรบ้าง

นุ่นเห็นน้องพิชเล่นเรื่องรักแห่งสยามมาแล้ว รู้ว่าน้องพิชนี่เป็นคนที่ทำงานกับมะเดี่ยวมาไม่น้อยในเรื่องของเพลง มีโอกาสได้ไปเจอกันที่บ้านมะเดี่ยวบ่อยๆ ตอนที่เริ่มรู้จักกับมะเดี่ยว แต่ยังไม่ได้คุยอะไรจริงจังกับน้องพิช พิชเป็นเด็กมีความสามารถในการแสดงและดนตรีคนนึงซึ่งผลงานก็ดูได้เลยจากเรื่องรักแห่งสยาม นุ่นได้มีโอกาสเพิ่งมาเริ่มได้พูดคุยกันก็ตอนช่วงนี้ช่วงที่ถ่ายหนังด้วยกัน น้องพิชเป็นผู้มีพระคุณเป็นคนที่ช่วยแอ๊คติ้งโคททางภาษาก่อนเข้าฉาก (หัวเราะ) คือน้องพิชจะแม่นในเรื่องของภาษาคนเชียงใหม่มากกว่านุ่นเยอะ เขาก็จะเป๊ะมากไม่ต่างอะไรจากมะเดี่ยวเลย นุ่นต้องเปิดบทคุยกับน้องพิชแล้วให้น้องพิชสอน คือมะเดี่ยวจะสอน 1 รอบแล้วส่งมาให้น้องพิชมาประกบอีกรอบ น้องพิชก็จะคอยดูสำเนียงถูกต้องหรือยัง แล้วน้องก็จะอดทนกับพี่มาก เพราะพี่เสียงแปร่งมากกว่าจะพูดได้น้องพิชเขาก็จะย้ำๆ จนกว่านุ่นจะได้
ในเรื่องน้องพิชมารับบทเป็นน้องชายของนุ่น นุ่นรู้สึกว่าพิชเป็นน้องจริงๆ ค่ะ ก็ในเรื่องมันต้องเล่นรับส่งเป็นพี่น้องที่มีความห่วงใยเอื้ออาทรกันจริงๆ ทีนี้ก็ง่ายเลยเพราะเราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว น้องมาสอนพี่พูดคำเมืองด้วยซ้ำ ระหว่างอยู่ที่กองถ่ายนุ่นกับพิชก็เลยสนิทกัน มาต้องมาเล่นบทที่ต้องมีการรับส่งกัน เข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกันมันก็ง่ายมากขึ้นค่ะ

ประทับใจอะไรในตัวพิชบ้างตั้งแต่เริ่มรู้จักกันมา
อย่างแรกเลยที่ประทับใจในตัวน้องพิชคือเขาเป็นคนมีความเป็นธรรมชาติสูง รู้สึกได้อย่างเวลาที่นุ่นต้องเข้าฉาก เราอยู่กับงานด้านการแสดงมาก็พอสมควรแล้ว เวลาที่เราเล่นมันก็จะติดมีแอคติ้งอยู่บ้างมันเป็นการแสดงอยู่ในบางครั้ง แต่น้องพิขเขามีความเป็นธรรมชาติสูงกว่า เขาจะเล่นอะไรที่ปรับทั้งหมดดูแล้วมีความเป็นธรรมชาติดูแล้วเชื่อว่านี่คือเลี่ยม (ชื่อตัวละครที่พิชเล่นในเรื่อง) นุ่นว่าน้องเขาแจ๋วดีเห็นเป็นเด็กแบบบนี้แต่ก็คุยเข้าใจได้ง่าย สอนพี่อู้เมืองเริงร่าในกอง เวลาที่เขาทำงานเขาก็จะทุ่มเทไม่งอแง เวลาที่นุ่นเห็นงานของน้อง เวลาไปเช็คมอนิเตอร์แล้วรู้สึกได้เลยว่าพิชมีความเป็นธรรมชาติในการแสดงสูง อันนี้เป็นจุดที่นุ่นชื่นชมน้องมากค่ะ

เรื่องนี้มีอีกคนที่ต้องเล่นคู่กันกับนุ่น คือพี่ลิฟท์ ร่วมงานกับพี่เขาเป็นอย่างไรบ้าง
นุ่นคนนึงละที่ยกมือได้เลยว่าเป็นแฟนเพลงของพี่ลิฟท์คนนึง ก็เคยซื้ออัลบั้มเขาอยู่สมัยก่อน วันแรกที่ได้มาเจอพี่ลิฟท์นี่แสดงตัวทันที นุ่นมาถึงก็พยายามเต้นโชว์พี่เขาเลย (หัวเราะ) พี่ลิฟท์ก็เป็นคนน่ารักค่ะเลยร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้ เคยเล่นละครด้วยกัน ในเรื่องพี่ลิฟท์มาเล่นเป็นคนรักเก่าเมื่อครั้งสมัยเรียนของปรียา ต้องมาเล่นหนังเรื่องนี้ก็มีต้องมองหน้ากัน สบตากันคิดถึงอดีตเก่าๆ ที่เคยดีต่อกัน ก็เป็นอะไรที่แปลกๆ แล้วก็ตลกดีค่ะ ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ๆ กับพี่เขาตลอดเวลา แต่พี่เขาก็น่ารักสม่ำเสมออยู่แล้ว
อีกเรื่องนึงที่อยากพูดถึงพี่ลิฟท์คือ นุ่นก็ไม่เข้าใจทำไมทุกคนในกองถ่าย สมมติเวลาที่พี่ลิฟท์เข้าฉากกับนุ่นเสร็จ ทุกคนก็จะไปรวมกันอยู่หน้ามอนิเตอร์แล้วก็พูดว่าน่ารักจังเลย พี่ลิฟท์หล่อเนอะ ยิ้มน่ารักเนอะ คือทุกคนมองข้ามเราไปเหมือนเราเอ้าโฟกัสแล้วไปโฟกัสที่พี่ลิฟท์คนเดียว (หัวเราะ) สาวๆ ในกองก็ยิ้มกันตาฉ่ำเลยเวลาที่มีพี่ลิฟท์มาเข้าฉากด้วย ก็เข้าใจได้ที่พี่เขาเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มอบอุ่นน่ารัก อันนี้เข้าใจได้ แต่อิจฉานิดหน่อย (หัวเราะ)

 

มีอีกคนนึงที่เล่นเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเรา ดีเจตัวแม่อย่างอาตุ่ยเลย ร่วมงานกันครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง

นุ่นเคยร่วมงานมาแล้วกับอาตุ่ย แต่มาเรื่องนี้อาตุ่ยตลกมาก อาตุ่ยเป็นคนใต้แต่พูดคำเมืองชัดกว่านุ่นอีก แล้วอาตุ่ยก็เคยเหยียดหยามว่า “นี่หล่อนทำไมหล่อนอู้ไม่ได้” อาเขามีความน่ารักมากเห็นอย่างนี้ชอบแกล้งนุ่น อาตุ่ยเป็นดีเจที่มีความเป็นนักแสดงสู้มากเป็นคนส่งบทส่งอารมณ์ที่ดีมาก ในเรื่องอาตุ่ยมารับบทเป็นคุณน้าของปรียา คุณน้าที่มีคาแรกเตอร์แปลกๆ แต่ให้เขาเล่นเองว่าแปลกยังไงอันนี้ไม่ขอบอกแกเล่นได้ธรรมชาติมาก แต่เวลาพอถึงฉากที่ต้องใช้ความรู้สึกใช้อารมณ์เยอะๆ อาตุ่ยเป็นคนส่งบทดีมาก ใครอย่าคิดว่าอาตุ่ยเล่นตลกได้อย่างเดียว เถียงเลย อาตุ่ยเขาสามารถเอาความรู้สึกของตัวละครออกมาได้จริงๆ มีอยู่ฉากนึงที่อาตุ่ยต้องแสดงอารมณ์เศร้ามีร้องไห้พอเล่นเสร็จไปทานข้าวกัน ตอนทานข้าวอาตุ่ยบอกว่า “เนี่ยตั้งแต่เล่นหนังเล่นละครมานะไม่เคยร้องไห้ให้กับใครเลย” แต่ตอนที่ถ่ายจริงเสียดายที่กล้องไม่ได้ถ่ายให้เห็นอาตุ่ยตอนมีน้ำตา กล้องถ่ายผ่านหลังอาตุ่ยมาหน้านุ่นแต่อาตุ่ยร้องไห้ คือเขามีอินเนอร์ที่ดีมาก เขาทำให้เราเล่นได้ง่ายขึ้นเยอะเลย สกิลสูงมากอาคนนี้

ในหนังเรื่องนี้เราพูดถึงความทรงจำดีๆ ในเรื่องของความรักของมะเดี่ยว ตอนนี้มาของนุ่นมั่งนุ่นมีความทรงจำอะไรที่ดี ที่อยากพูดถึงบ้างไหม
ถ้าเป็นความประทับใจ จริงๆ มันมีเยอะนะคะแต่ถ้าการได้มาอยู่ที่นี่อีกครั้งมันทำให้นุ่นคิดถึงสมัยเรียนวิศวะมช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) มันเป็นช่วงเวลา 4 ปีที่ได้อยู่เชียงใหม่ เมื่อก่อนนุ่นก็ไปโตและไปเรียนหนังสือที่นู้นที่นี่เพราะต้องย้ายตามพ่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าพอย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัย ต้องขับรถจากบ้านที่สันกำแพงไปมช. เลิกเรียนเสร็จก็ไม่ได้ไปไหน ก็กลับบ้านมาอยู่กับคุณยาย เป็นความทรงจำที่ดีที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคุณยายเยอะมากช่วงนั้นอยู่บ้านตลอดไม่ได้ไปไหน แล้วหลังจากเรียนจบก็ต้องไปทำงานที่กรุงเทพเลย แล้วชีวิตนุ่นก็เปลี่ยนโดยสิ้นเชิง มันเป็นความทรงจำที่แบบเราไดเอยู่ในเมืองที่น่ารัก บรรยากาศที่ดี อยู่กับเพื่อนฝูงที่น่ารัก อยู่กับครอบครัว เสาร์อาทิตย์คุณพ่อคุณแม่คุณน้องก็จะกลับมาเจอกัน เป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นมาก แล้วก็คิดว่าคงหายากแล้วที่จะได้กลับมาอยู่กันอย่างนี้ มันก็ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป ทำงานต่อไป นี่เป็นความทรงจำที่ดีมาก

แล้วการที่เราได้มาถ่ายทำกันที่เชียงใหม่ ความรู้สึกผูกพันกับที่นี่สำหรับนุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
นุ่นมาเรียนหนังสือที่นี่ตั้งแต่ปี 1- ปี 4 ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เชียงใหม่มันก็เปลี่ยนตามกาลเวลา สมัยที่นุ่นยังเป็นนักศึกษาคนเชียงใหม่ยังสบายๆ ตอนนี้ก็ยังสบายอยู่เพียงแต่ว่าอาจจะเฉพาะแถวในมหาวิทยาลัยมั้ง แต่ในเมืองที่มันมีความเติบโตขึ้น แถวม.ก็จะมีร้านเหล้ามีผับบาร์ ร้านอาหารหรือว่าร้านเก๋ๆ ซึ่งมีหลายแบบ จะชิวจะฮาร์ทคออะไรก็เยอะขึ้น มันเริ่มมีอะไรวุ่นวายมากขึ้น ในเมืองก็จะเริ่มมีมุมสวยๆ ร้านสวยๆ ร้านขายของ ร้านที่มีงานดีไซน์เยอะขึ้นเชียงใหม่ก็เติบโตขึ้น แต่ไม่รู้สินุ่นว่าบางอย่างมันยังอยู่ ถ้าเป็นที่อื่นนะนุ่นว่าด้วยเวลาที่ผ่านไปขนาดนี้ความเจริญที่มันเข้ามาขนาดนี้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เยอะกว่านี้ แต่วันนี้มันก็ยังอยู่ถึงมันจะมีอะไรที่ทันสมัยมากขึ้นแต่มันก็ยังมีกลิ่นของคนเชียงใหม่อยู่ ไปไหนยังได้ยินการอู้คำเมืองอยู่ ยังมีรถแดงที่แบบอยู่ๆ จะจอดก็จอดตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การทักทายคนแปลกหน้าคนต่างถิ่นด้วยภาษาคำเมือง การต้อนรับกลิ่นอาย เสื้อผ้า ถึงแม้ว่าบางอย่างมันจะเข้ามา แต่ว่าก็ยังเห็นคนแต่งผ้าพื้นเมืองอยู่ ก็ยังอยากให้จิตวิญญาณของเชียงใหม่ยังอยู่แบบนี้ค่ะ เพราะรู้สึกว่ากลับมาทีไรมันก็คือบ้าน ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานเท่ากับคนเชียงใหม่จริงๆ แต่นุ่นก็รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านเสมอ เรามาอยู่ที่นี่จะรู้สึกว่านี่บ้านฉันนะ ฉันไม่กลัวอะไรใครทำอะไรเราไม่ได้ มันอบอุ่นเสมอที่มาถึงค่ะ

ในเรื่องนี้เรามาถ่ายทำกันที่เชียงใหม่ บรรยากาศโดยรวมคือเชียงใหม่ ได้กลับมาอีกครั้งเป็นอย่างไรบ้าง
กลับมาคราวนี้ก็ยังรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านนะคะ ทุกครั้งที่กลับมาเชียงใหม่มันจะมีความสุข แล้วยิ่งได้กลับมาทำงานมันจะมีพลังงานบางอย่างในตัวที่แบบว่าฮึกเหิมๆ บ้านฉันๆ ใครจะมาทำอะไรฉันไม่ได้เพราะนี่คือบ้านฉัน อย่างบางทีไปต่างถิ่นที่ไม่ใช่เชียงใหม่เราก็จะแอบมีความรู้สึกอีกแบบ มีความเกรงใจกับสถานที่กับเมืองของคนอื่น แต่พอมาอยู่ที่เชียงใหม่รู้สึกเป็นตัวเองได้เต็มที่ เพราะนี่คือบ้านเราแล้วก็ชอบมาก แต่กลับมาครั้งนี้ก็จะดีหน่อยเพราะมีตังค์แล้ว การช๊อปปิ้งมันจะมีความสุขมากกว่าสมัยเรียน (หัวเราะ) เปรียบเทียบกันสมัยเรียนสมัยเรียนยังต้องขอเงินคุณแม่ ตอนนั้นก็กินข้าวในมหาวิทยาลัย แถวๆ นั้นก็ไม่แพง แต่เดี๋ยวนี้เชียงใหม่มันเติบโตมีร้านเก๋ๆ เยอะ มีอะไรให้ซื้อติดมือกลับไปอีกเพียง กลับมาคราวนี้โอ้..ชิวมากมีร้านสบายๆ สไตล์กิ๊บเก๋ให้นั่งเล่นเยอะมาก ชอบค่ะ

แล้วความหมายของคำว่า “บ้าน” ในความรู้สึกของนุ่นคืออะไร
บ้านสำหรับนุ่นมันต้องมีสองแบบคือรูปกับนาม มันต้องมีคนมีความรู้สึกอยู่ด้วยกัน ไม่ได้บอกว่าสถานที่คือบ้าน แต่ว่าที่ไหนก็ได้แต่ว่ามีคนที่เรารัก มีคนที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความสุข มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ อย่างของนุ่นเนี่ยคือ คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย คุณน้องอยู่ด้วยกันแล้วก็แฮปปี้มีความสุข มีอารมณ์ความรู้สึกห่วงหาเอื้ออาทรกัน บ้านเราไม่จำเป็นต้องสวยงามมีของแบรนด์เนม หลังใหญ่ไฮโซอะไรในบ้าน บ้านเราไม่จำเป็นต้องกินข้าวแบบภัตตาคารต้องสั่งหรูหรา บางทีแค่ข้าวเหนียวกับไข่เจียวที่คุณแม่ทอดแล้วก็ไปซื้อข้าวเหนียวมา นุ่นขี่จักรยานไปซื้อข้าวเหนียวที่ตลาดแล้วนั่งกินกัน 5 คน นี่คือบ้านจริงๆ สำหรับนุ่นแค่นี้ก็พอแล้ว

ในเรื่องนี้นุ่นมารับบทเป็นปรียาเจ้าสาวที่หวาดกลัวต่อความเปลี่ยนแปลง อยากให้นุ่นเป็นตัวแทนพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบเราบ้าง
เรื่องความรักนี่นุ่นแอบอินนะ ความรักในมุมมองของนุ่น ยิ่งกับในเรื่องนี้ ความรักมันไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยต้องอย่าไปกลัวที่จะรัก อย่าคิดวิตกกังวลของเราเองมันจะไปบั่นทอนสิ่งดีๆ ที่เคยมีให้กันและกันมาตลอด นุ่นก็เป็นนะมีบางอารมณ์ก็เป็นเหมือนปรียาในเรื่องนี้ มันก็เลยสอดคล้องกับตัวละครเรื่องนี้มากเพราะว่าบางทีเหตุการณ์ข้างนอกไม่มีอะไรเลย แต่เราหยิบแค่จุดดำ ๆ จุดแย่ๆ จุดนึงบนวงกลมใหญ่ๆ แล้วก็หยิบแค่จุดนึงมาแล้วจ้องมองมัน คิดกับมันไปต่างๆ นานาให้มันขยายใหญ่ขึ้น มันก็จะไปทำลายสิ่งดีๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด นุ่นว่าอย่าไปคิดเองอย่าไปกลัวที่จะรักแต่สำหรับคนที่จะเริ่มต้นใหม่อันดับแรกอย่าไปคิดว่าฉันต้องเริ่มใหม่ให้ได้ ฉันต้องมีความรักใหม่ที่ดีให้ได้ เริ่มจากรักตัวเองก่อน มันไม่ได้เป็นการเห็นแก่ตัวนะ แต่พอเรารักตัวเองรู้สึกดีกับตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเราเอง มองสิ่งดีๆ ที่เราทำอะไรดีๆ เราคิดอะไรดีๆ แล้วไอ้ความคิดอะไรดีๆ พวกนี้มันจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้าหาเราเอง เหมือนเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ อย่าเอาความรู้สึกเราไปฝากไว้ที่คนอื่น รักตัวเองก่อน พอเราดีปุ๊ปนุ่นเชื่อว่าเดี๋ยวความรักดีๆ มันจะเข้ามาเองค่ะ

มีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้คนต้องไปดูหนังเรื่องนี้กันในความเห็นของนุ่น
เอาแบบเบาๆ ก่อนเลยนะ หนังเรื่องนี้พูดถึงเชียงใหม่ บรรยากาศของความเป็นเชียงใหม่จากมุมมองของคนเชียงใหม่มันไม่ใช่หนังที่แค่มายืมโลเกชั่นเชียงใหม่แล้วก็ขอถ่ายวิวสวยๆ ของเขาเท่านั้น แต่หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของคนเชียงใหม่วิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต ทุกๆ อย่างก็ถ้าอยากลองดูคนเชียงใหม่ในสิ่งที่เขาเป็นก็มาดูเรื่องโฮม นี่คือเหตุผลเบาๆ อย่างแรกเลยที่นุ่นอยากพูดถึงแต่ถ้าเหตุผลที่นุ่นเล่นที่ชื่อว่า “งานแต่ง” นี้ นุ่นอยากให้คนที่มีความรักอยู่ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือว่าวัยเริ่มมีความรัก กำลังปลูกต้นรักแล้วคิดว่าจะทำยังไงเดินทางยังไงต่อ อยากให้มาดูเพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่าง เวลาที่คนเราเริ่มต้นคบกันทุกอย่างมันดีแล้วมันก็ผ่านเวลามาเรื่อยๆ บางอย่างเราไม่ได้ใส่ใจกับมันมากพอ ถ้ามาดูเรื่องนี้นุ่นว่ามันจะสะท้อนมุมมองของความรักอีกแบบนึงให้เรารู้สึกได้ แล้วนุ่นก็เชื่อว่าใครมาดูเรื่องนี้แล้วจะต้องได้ข้อคิดอะไรกลับไปแน่นอน เราอาจจะพาแฟนมาดูแล้วก็หันกลับไปมองคนข้างๆ ที่เราพามาด้วย แล้วคิดได้ว่า “เออ…ฉันเคยลืมความรู้สึกตรงนี้กับเธอไป“ ต้องมาดูค่ะ

อยากฝากอะไรทิ้งท้ายกับผู้ชมที่คอยติดตามเรื่องนี้บ้าง
(อู้เมือง) ในฐานะของคนเชียงใหม่นะเจ้า ถึงจะอู้เมืองแปลกนิดหน่อยแต่ว่าก็อยากจะขอฝากเรื่องโฮม เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนะเจ้า
(พูดกลาง) อยากให้มาดูค่ะ อยากให้มาลองมองความรักอีกหลายๆ รูปแบบ และนุ่นเชื่อว่าสิ่งที่ได้กลับไปนอกจากความสนุก นอกจากความบันเทิงที่หนังเรื่องนี้จะมอบให้แล้ว นุ่นว่าเรื่องนี้ให้ข้อคิดบางอย่างกับชีวิตตัวเองได้ อยากให้ทุกคนมีความรักที่ดีขึ้นแล้วก็จะส่งผ่านความรู้สึกนี้ผ่านหนังไปแล้วกันนะคะ

 

ที่มา:  Sahamongkolfilm
บันทึกภาพ:  Sahamongkolfilm
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
ข่าวนี้อยู่ในหมวด Star Update และ Tag: , , , ติดตาม comment ของข่าวนี้ผ่านทาง RSS feed
แสดงความเห็น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คู่รักสายกรีน “ท็อป – นุ่น” ร่วมกับพันธมิตร ผุดไอเดียรักษ์โลก ชาเลนจ์นักเรียนทำภารกิจ 3 RE กับโครงการ “REact For Change ลองเปลี่ยนโลก” >>

“ท็อป พิพัฒน์ – นุ่น ศิรพันธ์ – มารีญา” อินฟลูเอนเซอร์ รักษ์โลก ชวนมาเรียนรู้กู้โลก ในงานอีโค่สุดล้ำ “The Urgent Project – Better Future in Now” วันนี้ถึง 30 ต.ค. 65 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ >>

คู่รักสายกรีน ท็อป-นุ่น ขอท้าทำชาเลนจ์รักษ์โลก แข่งทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี >>

เฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ‘ณิชชา’ (NICHA) ที่สร้างสรรค์งานแฟชั่นโชว์สุดล้ำ เนรมิตรันเวย์ท่ามกลางสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นใจกลางเมือง เปิดตัวคอลเลกชั่น ออทั่ม/วินเทอร์ 2019 ที่มีชื่อว่า ‘ทรอปิคัล ซิตี้’ (Tropical City) >>

นุ่น-ศิรพันธ์ และ พริม-พริมา เดินสายสร้างแรงบันดาลใจการอ่านภาคอีสาน กับโครงการส่งความรู้สร้างความสุขปี 2 >>