บทสัมภาษณ์ “ผู้พันเบิร์ด วันชนะ สวัสดี จากตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา”

การกลับมาปิดตำนานของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ และอยู่ในใจตลอดกาลของผู้ชมภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์ ของ ผู้พันเบิร์ด พันโท วันชนะ สวัสดี
“อวสานหงสาจะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งครับที่คนไทยทุกคนจะได้รับรู้เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงหลังจากศึกยุทธหัตถี ที่ท่านมุ้ยตั้งใจถ่ายทอดให้คนไทยได้รับรู้ ในเมื่อเราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านทำไมเราถึงไม่เรียนรู้ให้จนจบรัชกาลของพระองค์ อยากให้ทุกคนได้รับทราบและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ไปพร้อมๆกับคนที่แสดง ทีมงานครับ 

MrBird (2)
 
กำลังจะมีภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช: อวสานหงสาเข้าฉาย ภาคนี้อวสานหงสายืนยันว่าจบแน่นอนแล้ว

B.หลายคนบอกว่ามาหลอกกันนี่นา ไม่เห็นจะจบสักที ชนช้างแล้วยังไม่จบอีกเหรอ จริงๆเราก็คิดคล้ายกันว่า เออมันน่าจะจบที่ชนช้างไหม เพียงแต่ผมเชื่ออย่างนี้ครับ เมื่อคนที่ชมภาค6ออกมาจากโรงภาพยนตร์แล้ว ทุกคนน่าจะคิดหมือนกัน ว่ามันควรจะมีภาค 6 ด้วยเหตุผลที่ว่าช่วงชีวิตของพระองค์ในการครองราชย์ของท่าน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ พระองค์ไม่ได้จบชีวิตลงตรงแค่การทำยุทธหัตถีแค่นั้น แต่มันมีเรื่องราวที่สืบทอดต่อเนื่อง มีการผันเปลี่ยนทางอำนาจ รวมถึงความสูญเสียในชีวิตของคน หลังจากนั้นอีกมาก และเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคนได้ไปดู เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในปีนี้เป็นปีที่12ปีและกำลังก้าวย่างเข้าไปสู่ปีที่13 มันมีเรื่องราวที่เราถ่ายทำไปเยอะมากแล้วในภาค6นะครับ ถ้าไม่จบด้วยข้อจำกัดของเวลา มันมีเรื่องราวที่เยอะกว่านี้อีก แต่เราก็ดึงเฉพาะในส่วนที่น่าสนใจและเรื่องราวที่สำคัญๆมาเพื่อให้ดำเนินเรื่องให้จบได้ในภาคที่6 เราได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจ ของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่าหงสาวดี เปรียบได้กับจีนในปัจจุบัน ยิ่งใหญ่ในอุษาคเนย์ในสมัยนั้น ภาค6อาณาจักรเหล่านั้นมันหายไปครับ มันเปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจใหม่ไปอยู่ที่อื่นละ ในขณะเดียวกันมันจะมีความสอดรับกับการก้าวขึ้นมา สู่ห้วงอำนาจที่สำคัญของอยุธยา มันเป็นที่มาของการเป็นเอกราชที่สืบทอดยาวนานอีก170กว่าปี ก่อนที่เราจะมาเสียกรุงครั้งที่2อีกครั้งหนึ่ง แล้วเราก็จะได้เห็นความสูญเสียของคน โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุดก็คือความสูญเสียของพระนเรศวร ก็เกิดขึ้นในภาคนี้

MrBird (1)

กว่าทศวรรษกับภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ ที่ผู้พันเบิร์ดเข้าไปมีส่วนร่วมสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยกำลังจะปิดฉากลงรู้สึกอย่างไรบ้าง

B. รู้สึก 2 อย่างครับ ความรู้สึกแรกเลยก็คือดีใจ สิ่งที่เราถ่ายทำมาทั้งหมดจนครบทั้ง6ภาค ดีใจที่หนังเรื่องนี้ได้ฉาย เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นความรู้สึกใหม่ของคนไทยที่จะได้ดู เพื่อให้คนได้ดูต่อไปในภายภาคหน้า แต่ความรู้สึกที่ตามมาคือความรู้สึกใจหายแวบว่า หลังจากนี้ไปการถ่ายทำที่เราจะได้เห็นนักแสดงครบๆแบบนี้ มันก็จะหายไป ตลอดระยะเวลา12ปีที่ผ่านมา โรงเรียนแห่งนี้เป็นเหมือนโรงเรียนประจำ ที่ทุกคนมาเจอกันตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ หรือบางครั้งเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้กลับบ้าน เลยผูกผันเป็นครอบครัวใหญ่ แล้วก็เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นในกองถ่าย มันเหมือนรวมตั้งแต่ปฐมแล้วต่อมัธยมจนจบเลย แล้วก็เจอกันทุกวัน เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเรากำลังจะแยกย้ายจากกันไป มันก็คือใจหาย แต่ว่าเราก็ดีใจครับเพราะว่าความผูกผันตรงนั้นมันไม่ได้จางหายไปไหนหรอกครับ เพียงแต่มันเปลี่ยนสภาพไปเจอกันที่อื่นไปทำงานกันใหม่ในที่อื่นหรือว่านัดกันไปเที่ยว

จากภาคแรกจนถึงภาคนี้ พัฒนาการของตัวละครของสมเด็จพระนเรศวร เป็นอย่างไรบ้างในความคิดของผู้พันเบิร์ด

B. ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้าย จริงๆตัวละครของพระองค์ เราต้องการจะถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่มีความหลากหลายทางอารมณ์เหมือนคนทั่วไป พระองค์มีห่วง มีความรัก พระองค์มีความโกรธ เสียใจ ร้องไห้ มีความกลัว แต่ในช่วงพัฒนาของตัวละครที่ผมเล่นตั้งแต่ภาค2 แต่ในภาค6ที่เป็นภาคสุดท้ายนี้ จะมีความหลากหลายทางอารมณ์มากกว่าในภาคที่ผ่านมา ภาคสุดท้ายเราจะเห็นความหลากหลายทางอารมณ์แล้วลึกมาก โดยเฉพาะความห่วงในแผ่นดินอโยธยา ที่เราจะได้เห็นของพระนเรศวรในฉากท้ายๆเรื่อง เราจะเห็นเลยว่าความเป็นมนุษย์จริงๆของพระองค์ ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในฉากนี้ และจะบ่งบอกเป็นบทสรุปทุกอย่างเลยว่า ทำไมพระองค์จึงเพียรทำทุกสิ่งทุกอย่างมาตั้งแต่ภาคหนึ่งจนถึงภาคหกครับ

MrBird (3)
 
Q. นอกจากศึกยุทธหัตถีแล้ว ในภาคอวสานหงสาจะเกิดอะไรขึ้น มีเหตุการณ์เรื่องราวสำคัญอะไรในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในภาพยนตร์ภาคนี้

ในภาคนี้เราจะพูดถึงเรื่องของการปกครอง แล้วเราจะพูดถึงชีวิตของคน แล้วผมจะแบ่งเรื่องการปกครอง และชีวิตในฝั่งหงสาวดี การปกครองและชีวิตในฝั่งอยุธยา เราเริ่มที่ในเรื่องการปกครองก่อน ในภาค6จะได้เห็นจุดพลิกผันของอาณาจักรหงสาวดีที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ส่งผลให้อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่เหล่านั้นมันหายไปเลยครับ แล้วมันจะมีการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางอำนาจใหม่ มีเมืองต่างๆเกิดขึ้นในอาณาจักรหงสาที่เคยรุ่งโรจน์อยู่ เราจะเห็นกลุ่มคนใหม่ๆอย่างยะไข่ ซึ่งเป็นพวกโจรสลัด เราเรียกว่าเป็นชาวอาระกัน มาจากทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ซึ่งอยู่ติดกับจีน พวกนี้เป็นโจรสลัดที่ลงมาปล้น มันจะมีนิสัยเหมือนกับพวกตีหัวเข้าบ้านอย่างเดียว เราจะเห็นพวกเมืองมอญ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ เราจะเห็น เมาะตะมะ แล้วเราก็จะได้เห็น ตองอู ซึ่งจะกลายเป็นอาณาจักรศูนย์กลางแห่งใหม่ของพม่า

ต่อมาคือเรื่องชีวิตของคน เราก็จะได้เห็นชีวิตในส่วนของพระเจ้านันทบุเรง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองหงสาวดี คนที่ครองเมืองจะต้องมีความยิ่งใหญ่มาก สืบต่ออำนาจมาจากพระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศ เพราะฉะนั้นความเกรงขามของคนที่อยู่ใต้อาณัติ แม้กระทั่งอโยธยาในเมื่อก่อนนี้เองก็ถือว่าเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้านันทบุเรงมาก่อน ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน ต้องไปเหมือนลี้ภัย แล้วก็เจ็บป่วยเหมือนกับเวรกรรมตามทัน การเจ็บป่วย การเลอะเลือนของสติ แล้วก็ถูกข่มเหง ถูกใช้ประโยชน์ เพื่อประโยชน์ของส่วนอื่น ถูกหลอกใช้นี่คือนันทบุเรง แต่ที่สำคัญของพระเจ้านันทบุเรงที่ช้ำชอกไปกว่านั้นนะครับ คือการสูญเสียลูกชายที่พระองค์รักมากตั้งแต่ศึกยุทธหัตถีแล้ว การสูญเสียในครั้งนั้นมันส่งผลอะไรต่อสภาพจิตใจของพระองค์บ้าง เกิดการกระทำอะไรขึ้นในหงสาวดี มีความเหี้ยมโหดอะไรเกิดขึ้นบ้าง นี่แหละคือสิ่งที่เราจะได้เห็นในภาคที่6

ฝั่งอยุธยาในแง่ของการปกครอง เราจะได้เห็นความเข้มแข็งของอยุธยา ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เราจะเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของพระองค์ อันเป็นศูนย์นำจิตใจของคนสมัยนั้นทำให้เมืองเข้มแข็ง เราจะเห็นการเดินทัพของพระองค์จากอยุธยาไปไกลถึงหงสา เป็นครั้งแรกที่เราไปเหยียบหงสา สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของสมเด็จพระนเรศวร 2 ประการ ประการแรกคือเรื่องส่วนรวมของอยุธยา ที่ต้องการจะไปเอาเมืองหงสากลับมาเป็นเมืองขึ้นของเรา เหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยเป็นเมืองขึ้นของเขา แต่ประการที่สองเป็นเรื่องเฉพาะพระองค์ นั่นหมายถึงพระองค์จะพยายามไปเอาพระสุพรรณกัลยากลับมา แต่ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นพระองค์ได้เดินทัพไปรบอีกหลายศึก รบกับตองอู รบกับเมาะตะมะ ทำไมพระองค์ถึงต้องทำแบบนั้น เพื่อความเป็นเอกราชและความคงอยู่อย่างมีความสุขของประชากรในอยุธยานั่นเองนะครับ อันนี้เป็นเรื่องของการปกครอง ต่อมาเป็นเรื่องส่วนตัว เราจะได้เห็นความสูญเสียองค์ประกันที่จบความเป็นองค์ประกันอย่างแท้จริงในภาค6 นั่นคือ พระสุพรรณกัลยา และความสูญเสียนี่ก็จะเป็นเหตุผลอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมพระนเรศวรถึงต้องยกทัพไปถึงหงสา ด้วยความสูญเสียในครั้งนั้นทำให้พระองค์เหมือนมีความเจ็บแค้นอยู่ในใจ ที่จะต้องเอาหงสากลับคืนมาให้ได้ และเมื่อยกทัพไปถึงหงสาแล้ว ยังต้องตามไปเอาชีวิตของนันนทบุเรงกลับมาให้ได้อีกนะครับ ความสูญเสียที่สำคัญที่เราจะได้เห็นในภาค6 นั่นคือการปิดฉากของช่วงชีวิตของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่วันหนึ่งคนเราเกิดมานะครับจะต้องจากไป เราจะฝากอะไรไว้ให้กับแผ่นดินบ้าง เราจะได้เห็นแม้วินาทีสุดท้าย ที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์แล้ว ความผูกผันและความห่วงในแผ่นดิน พระองค์ได้ฝากเรื่องราวต่างๆให้กับน้องชายพระเอกาทศรถ จนทำให้เราเข้าใจชีวิตทำให้เราจบภาค6 ถึงแม้ว่าพระองค์จะสูญสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่เรากลับอิ่มเอิมใจ ก็แปลกที่ทำภาพยนตร์สร้างออกมาได้แบบนั้นนะครับ และนี่คือบริบททั้งฝั่งอยุธยาและฝั่งหงสาวดีครับ

MrBird (4)

Q. ในภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทุกภาคที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นอาณาจักรอย่างหงสาวดีกับอโยธยา แต่ในภาคอวสานหงสา เราจะได้เห็นการก้าวเข้ามา มีบทบาทสำคัญของอาณาจักรอื่นๆที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงทางประวัติศสตร์

ในภาค6 นอกเหนือจากอาณาจักรที่มีอยู่อย่างหงสาวดี ก็จะมีเมืองต่างๆที่ขึ้นอยู่กับบุเรงนอง ไม่ว่าจะเป็นตองอู เมาะตะมะ ยะไข่ เหล่านี้ แต่ทีนี้เมื่อสิ้นบุเรงนองแล้ว การขึ้นมาของนันทบุเรงมาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ความระส่ำระสายที่เกิดขึ้นคือความเชื่อถือของเมืองต่างๆเหล่านี้ที่มีต่อนันทบุเรง เริ่มคลายความจงรักภักดีออกไป เริ่มตีตัวออกห่าง สัญญาณเหล่านี้จริงๆมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยภาค2ตอนประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ตอนนั้นพระนเรศวรเข้าไปเพื่อช่วยหงสาวดีรบกับกบฎอังวะ นี่เป็นสิ่งบอกเหตุว่า อังวะเริ่มตีตนออกห่างแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เลยเกิดความระส่ำระสายเมืองต่างๆเริ่มที่จะตีตัวออกห่างมากขึ้น ด้วยความที่อยากจะขึ้นมาเป็นใหญ่ เพราะด้วยความที่ไม่เชื่อมั่นต่อในตัวพระเจ้านันทบุเรง เมืองเดิมๆเหล่านี้แหละที่จะเข้ามามีบทบาทในการสู้รบสำคัญในภาค6 การสู้รบระหว่างหงสาวดีกับอยุยา เช่น เมืองยะไข่ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพวกโจรสลัด เมืองตองอู(เกตุมวดีตองอู) เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ขึ้นไปทางเหนือจากหงสาวดีขึ้นไป ซึ่งการขึ้นไปก็ค่อนข้างทุรกันดารพอสมควร โดยมีเมงเยสีหตู เป็นเจ้าเมืองแสดงโดย อาหนิง-นิรุตติ์ อีกคนหนึ่งคือ พี่ลูกแพร รัชนี ศิระเลิศ เมงเกงสอ ภรรยาของเจ้าเมือง ส่วนลูกชายของเมืองนี้ที่เป็นอุปราชอยู่ เราเห็น นัดจินหน่อง มาตั้งแต่ในภาค2 ตอนขึ้นไปตีเมืองคัง 3 ทัพ ทัพหนึ่งจะเป็นพระนเรศวร อีกทัพหนึ่งเป็นพระมหาอุปราชา และอีกทัพหนึ่งละครับก็คือนัดจินหน่องซึ่งมาจากตองอู เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในเรื่องการเมืองการปกครองมากขึ้น เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในเครือข่ายของพม่าในสมัยนั้น แต่อังวะก็ดี เกตุมวดีตองอูก็ดี จริงๆเป็นเครือญาติกันเกิดมาตั้งแต่สมัยบุเรงนอง เพราะฉะนั้นเขาเองก็คิดว่าเขามีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ เขาก็มีสิทธิ์เท่าพระเจ้านันทบุเรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยพยายามที่จะตีตัวออกห่างนะครับ สมเด็จพระนเรศวรเดินทัพไปที่หงสาวดี เพื่อที่พระองค์จะไปพาตัวเอาพระสุพรรณกัลยากลับมา พอรู้ว่านันทบุเรงได้สังหารพระสุพรรณกัลยาไปแล้ว ตัวนันทบุเรงไปอยู่ที่ตองอู พระนเรศวรก็เลยยกทัพขึ้นไปถึงตองอู โดยที่พระองค์ไม่ได้เตรียมเสบียงอาหาร หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆเพื่อที่จะขึ้นไปถึงเหนือขึ้นไปถึงตองอู การขึ้นไปจึงทุลักทุเลด้วยความยากลำบากของเส้นทางที่ไป ความที่มันเป็นป่า และมีโรคไข้ป่ามากมาย ทำให้ทหารของพระองค์เกิดล้มป่วย เจ็บตายกันมาก ทั้งการรบที่ยากลำบากอยู่แล้ว แถมซ้ำยังต้องมาเผชิญกับพวกยะไข่ที่มาคอยตัดตีตัดเสบียงเราอีก อย่างพระจ้านันทบุเรง หลังจากที่ทรงสูญสียลูกชายไปกับศึกยุทธหัตถี พระองค์ก็เสียใจรวมทั้งความคับแค้นใจ จากการที่ทหารต่างๆที่ติดตามขบวนทัพของลูกชายไปแล้วปล่อยให้ลูกชายตาย พระองค์โหดถึงขนาดจับเผาหมดทหารเหล่านั้น แล้วความเป็นไปของพระเจ้านันทบุเรงในช่วงบั้นปลายของพระองค์เหมือนสติเลอะเลือน ทุกอย่างดาวน์ลงไปหมดเลย ผิดหวังในชีวิตรูปโฉม เหมือนกับเป็นคนพิการ ทุกอย่าง เมืองที่เคยครอบครองที่ยิ่งใหญ่ก็หายไป เหล่านี้มันเป็นบั้นปลายชีวิตของคนๆนี้ แล้วสุดท้ายพระนเรศวรทำอย่างไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อมาหลังจากการขึ้นครองความเป็นใหญ่ของตองอู นัดจินหน่องจะเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้อง แล้วมันยังมีเมืองอื่นอีกมั้ยที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับตองอู ที่จะกลายป็นคู่แข่งกัน แล้วบัดนั้นความพลันแปรเปลี่ยนไปของเมืองหลวงของพม่าก็จะเปลี่ยนอำนาจไปที่อื่น หรือไม่อย่างไร

MrBird (5)

รวมไปถึงบทบาทสำคัญของชาวมอญรามัญ ที่เข้ามาร่วมกับทางฝั่งอโยธยาในภาคนี้ และตัวละครใหม่ๆที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคนี้ด้วย

ในภ.มีหลายเผ่าพันธุ์ พวกยะไข่ พวกยองม้วย ไทยใหญ่ เมืองคัง อยุธยา พิษณุโลก หรือทางฝั่งเขมร ฝั่งลานช้างร่มขาวเป็นลาว มีเชียงใหม่ แต่ในภาคนี้เราจะเห็นความสำคัญของ พวกมอญพวกรามัญโดยแท้ ซึ่งเดิมทีอาณาจักรหงสา คือจะเป็นพวกมอญมาอยู่ก่อน แต่บุเรงนองก็มายึด และก็ขับไล่พวกมอญออกไป เพราะฉะนั้นอาณาจักรของพวกมอญที่อยู่รายล้อมหงสาวดีก็ยังมีอยู่ จะมีพวกมอญแทรกซึมอยู่ในระหว่างการรบเสมอ แต่ในภาคนี้เราได้ดึงตัวละครใหม่เข้ามา เม้ยมะนิก คือน้องปันปัน-เต็มฟ้า คือสาวชาวลูกครึ่งมอญ-ไทยใหญ่ ที่มีความเก่งกาจ คล่องแคล่วในการต่อสู้ อยู่ภายใต้อาณาจักรเมาะตะมะ ที่เจ้าเมืองเมาะตะมะก็ข่มเหงพวกมอญเหล่านี้มาโดยตลอด แม้แต่ข่มเหงย่ำยีแม่ของเม้ยมะนิก น้องเขา คือเขาเป็นนักกีฬาทีมชาติ นักยิมนาสติกลีลา เต้นบัลเลต์ ความอ่อนตัว ความแข็งแรง ความยืดหยุ่นเขามีอยู่แล้ว น้องเขาต้องทำทุกอย่างเหมือนที่ผมทำ แล้วทำได้ดีกว่าด้วย เพราะว่าพวกผมไม่ได้มีความอ่อนตัว ความสามารถพิเศษในการใช้อาวุธที่ท่านก็ออกแบบมาคล้ายกับคทายิมนาสติก เขาคล่องเลยนะครับ แล้วก็จะมีบทรุมกันของพระเอกาทศรถแล้วก็พระราชมนูที่พระนเรศวรสั่งให้ไปตามจับตัวมา ก็ต้องมีการชิงไหวชิงพริบ ต้องไปจับตัวคนนี้ให้ได้ มีการสร้างเรื่องราวของเม้ยมะนิกขึ้นมา ยังมีอีกสองตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ก็คือ อารณ ฤทธิชัย ซึ่งเล่นเป็น เมงราชาญี เจ้าเมืองยะไข่ และ สีหรั่น ผู้ร้ายตลอดกาลคือ อาดามพ์ ดัสกร ท่านมุ้ยยังบอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นกรุสมบัตินักแสดง ท่านให้อาดามพ์กับอารณ เหมือนวิ่งออกไปสู้รบนะ แล้วท่านก็มองแต่ในกล้องนะ อาก็วิ่งร้อง อ๊า คือวิ่งเหนื่อยมาก แล้วพวกผมก็มองกันอยู่นอกกล้อง โหอาแกวิ่งแทบไม่ไหวอยู่แล้ว ท่านมุ้ยก็บอกว่าเออ ขอโทษที ลืมไปฉันก็อายุขนาดนี้แล้ว โหแต่ยังไหวท่าน เอาเป็นว่าผมขอขี่ม้าได้มั้ย ผมไม่กลัวเลย คราวนี้ท่านก็ให้ขี่ม้า แล้วคอยสั่งการเอา แต่ก็ดูดีขึ้นนะครับ

ยะไข่มันเป็นโจรสลัดมันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าในปัจจุบัน เมืองๆนี้มีความเก่าแก่ถึงขนาดที่ว่าเราเชื่อว่าเสมา ธรรมจักรที่เก่าแก่ที่สุดที่เอามาจากอินเดีย เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้เลยนะอยู่ที่เมืองนี้ และแม้กระทั่ง พระสีหมุนี ที่เราไปไหว้ที่พม่าก็เอามาจากเมืยองนี้ ด้วยความที่รุ่งเรืองขนาดที่ว่าเพราะว่ามันเป็นโจรสลัดครับ มันอยู่ในเทือกเขาอาระกันโยมา ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นกำแพงของเมืองๆนี้เลย แล้วตรงเขาตรงไหนที่มันจะชนกันตรงนี้นะ เขาก็ก่อกำแพงกั้นด้วย เหมือนกำแพงเมืองจีนเลย แล้วมีทางเข้าทางเดียวคือแม่น้ำอาระกัน เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้เวลาเข้าออกมาเขาก็ล่องเรือออกมาครับแล้วก็มาปล้นมาชิงทอง ปล้นสะดม ในท้ายที่สุดเวลาใครจะปล้นเมืองนี้ ต้องผ่านโดยการใช้เรือเข้าออกมา แต่ได้ทางเดียว จนในที่สุดเวลาใครจะเข้าไปตีเมืองๆนี้ก็ต้องล่องแม่น้ำเข้าไป เพราะฉะนั้นแล้วเวลาล่องแม่น้ำเข้าไป แน่นอนว่ามันมีจุดสกัดที่อยู่บนบกยิงลงมา กว่าจะไปถึงนะครับ ก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ เพราะครั้นจะไปปีนเขา มันก็ทำไม่ได้เพราะเขามันสูงมาก ผมก็เลยบอกว่าโอ้โหเมืองนี้พวกยะไข่มันน่าสนใจ น่าศึกษาว่าชนชาตินี้เป็นอย่างไรนะ

MrBird (6)

นอกเหนือจากความเข้มข้นของเรื่องราวและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในภาคอวสานหงสาเราจะได้เห็นภาพความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาของสมเด็จพระนเรศวรชัดเจนขึ้น

B. เราเคยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์สมัยก่อนเป็นสมมติเทพ แต่จริงๆเราต้องการที่จะสื่อในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาตั้งแต่ภาค1ถึงภาค5อยู่แล้ว พระนเรศวรจะมีแกนกลางของแนวความคิด ก็คือพระองค์จะต้องทำเพื่อแผ่นดิน เมื่อแผ่นดินอยู่ได้ ประชาชนของพระองค์เองก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน แต่ในการพลิ้วไหวของอารมณ์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่นความสูญเสียของพระองค์จากการที่พี่สาวถูกสังหาร บางทีคนเราก็จะโกรธขึ้นมา จะยอมทำทุกอย่างเพื่อความโกรธ แล้วก็ทำตามนั้น แต่พอวันหนึ่งเมื่อเวลามันผ่านไป จะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นทรงกระทำซึ่งเพื่อผลประโยชน์ของชาติ เป็นการกระทำเพื่อส่วนรวมเป็นการเสียสละ ยอมแลกแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองเพื่อให้ความเป็นเอกราชกลับคืนมาสู่อยุธยา อย่างเช่นในฉากท้ายๆเรื่องของการที่พระองค์จะสวรรคตแล้ว คือพระองค์ได้บอกว่า ณ เวลานี้เราจะสิ้นแล้ว เราไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไอ้ความเป็นเอกราช หรืออะไรที่จะนำมาซึ่งแผ่นดิน ณ ถึงเวลานี้ เราต้องการเพียงแค่สองสิ่งคือเมียกับลูก อันนี้คือสิ่งที่เป็นคนธรรมดาจริงๆเลย แต่ก็จำเป็นต้องจากไปเพราะป่วย อันนี้คือความเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง แต่พอสักพักหนึ่งนะครับมันจะถูกหวนกลับมาซึ่งความคิดเดิม คือการกระทำเพื่อแผ่นดิน พระองค์ก็ยังเป็นห่วงอีก พระองค์ก็จึงเรียกพระเอกาทศรถมาสั่งเสียว่าอโยธยาเราต่อไปต้องเป็นอย่างไร จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมีความสุข สิ่งหนึ่งก็คือบอกพระเอกาทศรถว่าต้องครองแผ่นดินโดยธรรม และเราต้องเป็นเอกราชให้ได้ การที่เป็นเมืองขึ้นไม่มีทางหรอกที่ประชาชนจะอยู่ได้อย่างมีความสุข

Q. ในขณะเดียวกันก็จะได้เห็นความรักความผูกผันของหลากหลายตัวละคร ที่อยู่รายล้อมของพระนเรศวรมหาราชที่มีส่วนสำคัญกับชีวิตพระองค์จนถึงวินาทีสุดท้าย

เราจะได้เห็นถึงความรักความผูกผัน เอื้ออาทรของคนรอบข้างพระนเรศวรที่มีต่อพระองค์ การทัดทานว่าอย่าไปศึกนั้นเลย น่าจะแก้ไขปัญหาแบบนั้นแบบนี้ เริ่มตั้งแต่ บุญทิ้ง เป็นทั้งเพื่อน ทั้งทหารของพระมหากษัตริย์ บุญทิ้งเทิดทูนพระนเรศวรเป็นเจ้านาย ออกรับหน้าแทนพระองค์ไม่ต้องไปรบ ข้าขอไปแทน เปรียบได้กับคนไทยในปัจจุบันที่เรายอมที่จะเสียสละชีวิตให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้พระองค์มีชีวิตที่ยืนยาว มีความสุขใจอยู่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับคนไทย มณีจันทร์ ก็มีความห่วงหาพระนเรศวร ในแง่มุมมองของคนเป็นเมีย และเคยเป็นเพื่อนมาก่อน ก็คอยให้ข้อคิดพระนเรศวรเสมอ อันนี้มันถ่ายทอดได้ว่าเป็นคู่คิดที่อยู่ในครอบครัว มหาเถร มีความผูกผัน มีความห่วงใยพระนเรศวรในแง่มุมมองที่พระนเรศวรเป็นเสมือนลูกศิษย์ ข้อคิดที่มหาเถรให้กับพระนเรศวรมันยังเป็นข้อคิดตามหลักธรรม ทำให้พระนเรศวรเย็นลง มีความให้อภัย เรื่องของแอ็คชั่นการบู๊แล้ว ความเป็นบุ๋นมันจะเกิดขึ้นจาก 2 คน คือมณีจันทร์ กับมหาเถรทำให้พระนเรศวรมีบารมีได้ เราจะเห็นได้ว่าท้ายที่สุดไม่ว่าคนจะทัดทานพระนเรศวรยังไง แต่เมื่อตัดสินใจอย่างไรแล้ว ทุกคนก็จะเคารพในการตัดสินใจของพระองค์ และก็พร้อมที่จะทำให้การตัดสินใจของพระองค์ไปสู่ผลสำเร็จให้ได้ เพราะทุกคนรู้ครับว่าพระองค์ทำเพื่ออะไร นั่นก็คือความสุขของไพร่ฟ้าประชาชนของชาวอโยธยานั่นเอง บทบาทความสำคัญของพระเอกาทศรถ ที่เราจะได้เห็นต่อเนื่องจากภาค5 ที่ไปชนช้างอีกคู่หนึ่งกับ มังจาปะโร พระเอกาทศรถ มีความเป็นน้องไม่คิดอะไรซับซ้อน มีวัตถุประสงค์เดียวคือช่วยพี่ ทำทุกอย่างเพื่อพี่ ตอนภาค3ยุทธนาวีเราก็เห็น พระเอกาทศรถเอาเรือมาขวาง แต่ภาคนี้เราจะเห็นมากขึ้น ทั้งความเป็นพี่น้องคู่นี้ในหนัง เห็นพัฒนาการความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คือมีความเหมาะสมที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งต่อไปของอยุธยาเราได้แน่นอน แล้วก็คอยทัดทานพระนเรศวร หรือการให้แง่คิดกำลังใจ กับเม้ยมะนิก

MrBird (8)

ฉากหรือเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา

B.มีฉากสำคัญอยู่หลายฉากด้วยกัน เราจะได้เห็นภาพที่บอกว่าหงสาวดีแผ่นดินลุกเป็นไฟ ลุกเป็นไฟตามอารมณ์แต่เป็นเพราะนันทบุเรงสั่งเผา เผาคนที่ตามศึกลูกชายตัวเองไปเผาทั้งเป็นครับ เป็นหมื่นคนครับ จับเผาขึ้นตะแลงแกงแล้วเผา ซึ่งฉากนี้มันต้องใช้เทคนิคในการถ่ายทำพอสมควรเลย คือมันยากตรงที่ว่าไฟนี่จุดจริง แล้วคนก็ร้อนจริง แต่ว่าไฟไม่ถึงตัวนะการเตรียมการตะแลงแกรงจำนวนเยอะขนาดนั้น มันค่อนข้างจะวุ่นวายในระหว่างที่เผา วุ่นวายจริงในหนังต้องเอาด้วย ตอนเบื้องหลังการถ่ายทำก็วุ่นวาย แล้วก็ความจริงมันไมได้ลุกเป็นไฟอย่างเดียว ในพงศาวดารยังกล่าวไว้เลยว่าพระเจ้านันทบุเรงกวาดต้อนคนพม่ากลับเข้ามาในเมือง แล้วปิดประตูเมืองภายนอกเมืองทั้งหมด ตัดต้นไม้ที่ออกดอกออกผลที่กินได้ทั้งหมด เพื่อต้องการให้พวกมอญอดตายอยู่นอกเมืองครับ ใครขัดขืนแอบเอาไปให้กันฆ่าตายให้หมด คือโหดมากในสมัยก่อน เรามีการถ่ายทำอยู่หลายวัน เพราะบางครั้งเวลาที่เราถ่ายทำไปแล้วมันไม่ได้ครับ คือไฟจุดแล้วมันไม่ลุกมาก หรือบางทีจุดแล้วมันลุกมากเกินมัน ทำให้ตัวแสดงที่ถูกมัดอยู่ร้อนจริง แล้วก็ใช้คนประมาณ500คน คือนอกเหนือจากคนที่ถูกเผาแล้ว มันต้องมีทหารพม่าที่ทำหน้าที่เผา คือมันจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในท้องพระโรง การขอชีวิตอะไรอย่างนี้ แล้วก็ความวุ่นวายของคน500คนในการมาถ่ายทำ บางทีเล่นแล้วก็มีการเหลือบมองคนเหลือบมองดูกล้อง ไม่เข้ามาร์ก ไปบังตัวเมน คือชุลมุนวุ่นวายไปหมดครับ แล้วพอบางครั้งเวลาจุดไฟ ตอนซ้อมมันยังไม่มีไฟ พอเอาจริงพอไฟมันขึ้นมาปั๊บ คนที่ต้องไปจุดอีกทีเข้าไปก็ไม่กล้าเข้า พอไม่กล้าเข้า ทางด้านภาพก็ไม่ได้ อย่างนี้นะครับ จริงๆมันมีความยากอีกอย่างหนึ่งคือเราต้องมีคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นท่านมุ้ยจะมองไปเลยว่าฉากตรงนี้รูตรงนี้ จะต้องเอากรีนสกรีนมาขึง เพราะว่าภายหลังจากตรงนี้ไปจะเห็นเป็นกำแพงนะ จะเห็นยอดเจดีย์ตรงนี้นะครับ ภาพทั้งหมดมันเป็นภาพที่เขียนมาแล้วครับว่าจะมีเจดีย์ขึ้นตรงไหน ทหารจะคุมจากตรงไหนบ้าง เวลาถ่ายลมแรง ก็จะพัดผ้ากรีนเกิดเป็นเงา ต้องไปขึงผ้ากรีนขึ้นใหม่ บางทีพอถ่ายเสร็จปั๊บเงาก็ไปติดที่อยู่ตามผ้ากรีนอีก ก็ต้องจัดแสงใหม่ คือถึงแม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีมาแล้ว มันก็มาพร้อมกับความยากลำบากพอสมควร การถ่ายทำสำหรับฉากนี้ฉากเดียวก็ถ่ายทำเป็นอาทิตย์ละครับ

ทราบมาว่าผู้พันเบิร์ดถึงกับยกนิ้วให้กับความทุ่มเท และเต็มที่สุดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงของนักแสดงคุณภาพอย่าง ต้น-จักรกฤษณ์ ที่ต้องถ่ายทอดการแสดงผ่านดวงตา น้ำเสียง ท่าทางภายใต้หน้ากากชนิดที่ว่าทวีคูณความยากยิ่งขึ้นไปอีก

B. บางคนอาจจะคิดว่าสบายเพราะใส่หน้ากาก กลับกันยิ่งยากไปกว่าเดิม มันยากตรงที่ว่าเห็นอย่างเดียว คือเห็นแค่ตาครับ แต่พี่ต้นสามารถแสดง ถ่ายทอดออกมาจากทางตา ว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ ถ่ายทอดผ่านทางเสียง ถึงแม้ว่าจะใส่หน้ากาก แต่พี่ต้นก็ยังเล่นลึกเหมือนเดิม คือไม่ใช่ว่าโกรธอย่างเดียว คือโกรธอย่างสูญเสีย ช้ำอกช้ำใจด้วย ก็ถือว่ายากเป็นสองเท่า ลำพังเฉพาะเล่นทางหน้าธรรมดาก็ยากอยู่แล้ว แต่ที่นี้ต้องเล่นเฉพาะตากับเสียง ผมถือว่าพี่ต้น คือนักแสดงมืออาชีพโดยแท้ จัดเป็นอันดับแนวหน้าของเมืองไทยแน่นอน ผมบอกได้เลยว่าผมทำไม่ได้ บางทีแกนั่งเล่นคนเดียว เสียใจ พูดอยู่คนเดียว เรายังรู้สึกได้เลยว่ามันจุกอก แล้วพี่ต้นเก็บรายละเอียดเยอะมาก คือเวลาแกหยิบจับอะไรบนเตียง หรือพลับพลาที่ใช้อยู่ พี่ต้นใช้ทุกอย่างหมดเลยที่อยู่ใกล้ตัว เพราะฉะนั้นหน้ากากที่พี่ต้นใส่ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคของพี่ต้นเลย เพราะพี่ต้นสามารถเล่นได้

Q.ฉากไคล์แม็กซ์สำคัญของภาพยนตร์ การเผชิญหน้ากันระหว่าง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระเจ้านันทบุเรง

B. คือต้นเหตุของการที่พระนเรศวรต้องบุกไปถึงหงสา ขึ้นไปถึงตองอู เพื่อต้องการที่จะขึ้นไปเอาชีวิตของนันทบุเรง ผมขอเล่าความรู้สึกในช่วงการถ่ายทำก่อน ผมอยากจะบอกว่าฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่พี่ต้น-คมกริช ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด แต่แกมาถ่ายฉากนี้หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลต้องเติมเลือดเป็นประจำพอถึงเวลาพอเติมเลือดแล้วแกจะสดใสขึ้นมา แต่ผมรู้เลยว่าพี่ต้นแกมีความสุขกับการที่ได้มาถ่ายหนัง แกสดใสร่าเริงถ่ายทำทั้งคืนเลยนะครับ แต่หลังจากนั้น2วันแกก็กลับเข้าไปเติมเลือดใหม่ แต่แกกลับเข้าไปคราวนั้นนอนยาวจนกระทั่งเสียชีวิตเลย นึกถึงฉากนี้ก็ต้องนึกถึงคนๆนี้ แล้วก็เมื่อได้ร่วมงานกับพี่ต้น-จักรกฤษณ์ ผมบอกเลยว่าในภาคนี้ทั้งภาคผมเจอพี่ต้น-จักรกฤษณ์ในซีนนี้ซีนเดียว ถ้าเราพูดถึงในเนื้อหาของหนัง คือกษัตริย์รูปงามพระองค์หนึ่งที่เคยเป็นกษัตริย์ของหงสาวดี ที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หมด ซึ่งความเปล่งรัศมีของการเป็นพระมหากษัตริย์ ด้วยการที่ใบหน้าเละ จากการถูกปืนใหญ่และไฟลวก แล้วก็สติเลอะเลือน แล้วก็คือเมาสุราจนไม่ได้สติ มีแต่ไฟของความโกรธแค้น ความพิโรธ แล้วก็อยู่ในความหวาดกลัวที่ตัวเองจะต้องถูกคนอื่นตามมาเอาชีวิต เพราะตัวเองได้สร้างก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นไว้มาก อยู่กับความสูญเสียที่ตอกย้ำอยู่ในจิตใจคือลูกชายที่เป็นที่รักของตัวเองก็เสียไป แล้วความสูญเสียอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพระนเรศวรกลับเข้าไปแล้วเห็นคนๆนี้อีกครั้งหนึ่ง มันมีการปะทะคารมกันพอสมควร แม้แต่พี่ต้นเองก็รู้สึกบางอย่าง ผมเองตอนเล่นก็รู้สึกบางอย่างหมายถึงรู้สึกในหนังนะครับว่ามันมีการเชือดเฉือนอารมณ์กันต้องไปตามดู

MrBird (7)

ตลอดการทำงานกว่า1ทศวรรษ ฉากที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของ ผู้พันเบิร์ด พันโทวันชนะ สวัสดีในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาตลอด6ภาคมาจนถึงอวสานหงสา

B. ฉากนี้คือที่สุดของผม คือผมไม่คิดว่าจะเล่นฉากซึ้งได้ คือซีนสวรรคตในฉากภาค6 ที่เล่นมาทั้งหมดให้ผมแอ็คชั่นยังไงก็ได้นะ ตกจากกำแพงค่าย สู้บนหลังช้าง ปีนกำแพงเมืองขี่ม้าฟันดาบ ฉากที่ผมชอบที่สุดในชีวิตการแสดงคือฉากนี้ มันดีขนาดที่ว่าพอถ่ายทำฉากนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง อารมณ์เริ่มไม่ได้ พักกองเลยครับ ท่านเบรคเลยไม่เป็นไร เพราะหลังจากนี้มันจะสำคัญกว่านี้อีก รอ เดี๋ยวค่อยกลับมาถ่ายใหม่ ฉากจะเซ็ทใหม่ แล้วทุกคนก็จะกลับไปพัก หลายวัน ปล่อยให้อารมณ์มันคลาย แล้วค่อยๆบิ้วกลับเข้ามาใหม่ แล้ววันที่ถ่ายอีกครั้งหนึ่งคือ มันจบประมาณสักเที่ยงคืนอีกวันจบตี3 คราวนี้ไม่ละ ท่านต้องการให้ทุกคนมาแบบสดชื่นที่สุด เพื่อที่จะมาเล่นฉากนี้ยังไม่ติดอะไร รู้แค่บทก่อน

วันมาถึงท่านก็เริ่มนำนักแสดงทุกคนผม พี่ต๊อด ปีตอร์ พี่ปราบ เข้าไปในพลับพลาที่เซ็ทไว้ อธิบายให้ฟังว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชุดนี้เป็นชุดที่คุณใส่ตอนขึ้นครองราชย์ อาวุธเหล่านี้มันถูกส่งทอดมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า เริ่มอธิบายถึงเหตุผลในสิ่งที่เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่เป็นเครื่องราชย์ของพระมหากษัตริย์ มันมีความสำคัญ แต่เมื่อสิ้นรัชกาลต่างๆมันจะถูกส่งทอด คืออธิบายให้ฟัง เวลาที่พระนเรศวรสิ้นแล้ว พระเอกาทศรถก็ต้องรับสิ่งเหล่านี้ต่อไป ก็นั่งคุยกันไป เรื่องตลกบ้าง อะไรบ้าง ท่านคงจะดูอารมณ์ ว่ามันคลายแล้วรึยัง งั้นเดี๋ยวไปเวิร์คช็อพหน่อย เบิร์ดมา นอน เริ่ม บทผมก็ยังไม่ได้อ่านเลยนะ แต่จำได้ๆก็มีบทไว้ ค่อยๆบิ้วทีละนิดและเริ่มเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับหนังให้ฟังว่าพระเอกาทศรถ ต๊อดคุณขี่ม้ามาสามวัน ในขณะที่พระมหากษัตริย์กำลังจะสิ้นซึ่งเป็นพี่ทุกคุณรัก คือทุกอย่างคุณตายแทนได้นะ ถ้าเปลี่ยนพระนเรศวรไม่ตายพระเอกาทศรถตายคุณจะตายแทนได้ คุณจะตายมั้ย พี่ต๊อด ตายครับ แล้วก็เริ่มเล่น ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเล่นได้ คุยกันไป สั่งกันไป พี่ต๊อดคือน้ำหูน้ำตาไหล แล้วก็ร้องไห้ พี่ต้น(คมกริช) พี่ปราบฏ์ คือ ที่หลุดพูดถึงพี่ต้น(คมกริช) ทุกๆครั้งที่ถ่ายฉากสำคัญผมจะนึกถึงพี่ต้นตลอดเวลา ทุกครั้งที่ผมไหว้พระ ก็จะนึกถึงบอกพี่ต้นว่าเรากำลังถ่ายฉากนี้อยู่นะ พี่ปราบฎ์เขาก็จะเป็นคู่ซี้พี่เขา เขาก็จะนึกถึง มันเป็นการแสดงทางอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ นึกจะร้องก็ร้องนึกจะกราบก็กราบ นึกจะจับเท้าก็จับเท้า ไหว้เหนือหัว อะไรอย่างนี่ มันก็เป็นไปตามอารมณ์ของมัน ก็ค่อยๆ ถ่ายๆไป ตี5เลิกครับ ซึ่งไม่เหนื่อยเลย มีความรู้สึกว่าแหมมันยังมีฉากแบบนี้อีกมั้ย (หัวเราะ) อาจารย์สุเนตร เขียนได้ดีมากเลย ทำให้ทุกอย่างมันคลาย ผมก็เลยคิดว่าการจากไปของพระนเรศวรในหนังภาคนี้ ไม่ได้นำมาซึ่งความเศร้า แต่นำมาซึ่งความซาบซึ้ง และทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวร ที่พระองค์ทรงเพียรสร้างมาทั้งหมดมันจะอยู่ในฉากนี้ ทำให้เราเป็นเอกราชต่อมาอีก175ปี หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในปี2135 แล้วเรามาเสียกรุงอีกครั้งหนึ่งในปี2310   175ปี เราอยู่อย่างเป็นเอกราช เพราะสมเด็จพระนเรศวร เรามีเวลาที่จะทำนุบำรุงศาสนา บ้านเมืองเจริญเติบโตจากการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ไล่มาจนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไล่มาเรื่อยเลยครับ จนกระทั่งในที่สุดเรามาเสียกรุงอีกครั้งหนึ่ง ผมบอกได้เลยว่าการเสียกรุงครั้งที่2 มิได้เกิดขึ้นจากความอ่อนแอของเรานะครับ แต่มันเป็นเพราะเราแพ้ศึก เพราะกลยุทธ์ของทางพม่าที่เขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ทำให้เราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไม่ทันกัน โดยในส่วนของเบื้องหลังในการถ่ายทำฉากนี้ เราเริ่มถ่ายซีนสุดท้าย ที่บอกว่าจบตี5ตั้งแต่6โมงครึ่งตอนเย็น แล้วปราณีตถ่าย ต้องให้ทีมงานเลื่อนมุ้งใหม่ หรือตัดมุ้งเฉพาะรู แล้วพอตัดเสร็จสำหรับซีนนี้ แล้วซีนต่อไปก็ต้องเอาด้ายมาเย็บตะเข็บใหม่เพื่อสอยไม่ให้มันมีรอย อย่างนี้ครับ แสงจัดแล้วจัดอีก พอเปลี่ยนมุมปั๊บแสงก็จัดใหม่

ว่ากันว่าในซีนสุดท้ายนี้ ท่านมุ้ยตั้งใจถ่ายทอด และนำเสนอให้ได้เห็นตัวตนความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาอย่างชัดเจนมากๆของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ซีนนี้มันจะเกิดขึ้นเป็นซีนสุดท้ายของภาพยนตร์ในช่วงที่พระองค์ป่วยอยู่ เราจะเห็นมณีจันทร์เข้ามาในช่วงพะวงของความฝันที่พระองค์ทรงป่วยอยู่นี่แหละ ได้แสดงออกและถ่ายทอดถึงความเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีความรู้สึกรัก โลภ ห่วงในความเป็นตัวของตัวเอง แต่พออีกพาร์ทหนึ่งต่อจากตรงนี้ พระองค์เมื่ออยู่กับเมียเป็นอย่างนี้ แต่เวลาเมื่ออยู่กับทหารก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อยู่กับเพื่อนสนิทไอ้ทิ้งก็จะมีอีกอารมณ์หนึ่ง และสุดท้ายมาอยู่กับพระเอกาทศรถที่รู้ว่าต้องฝากแผ่นดินไว้ พระองค์ก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง มันเหมือนกับคนเรามีบทบาทที่เปลี่ยนไปในสังคม
 
ยังมีอีกฉากสำคัญที่ท่านมุ้ยทรงตั้งอกตั้งใจ และพูดได้ว่าแฟนๆของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทุกภาคจะต้องรู้สึกและอินกับฉากนี้เป็นพิเศษ จริงๆคือเป็นฉากที่พระนเรศมาลามหาเถรเพื่อที่จะทรงออกศึกครั้งสุดท้าย

ฉากนี้ถึงแม้ว่าตัวละครแต่ละคนไม่ได้เล่นเป็นเด็กมาก่อน นั่นคือการที่มาพบเจอกันในเฟรมเดียวกันอีกครั้ง อาเอก-สรพงษ์ ชาตรี มหาเถรคันฉ่อง ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม ไอ้ทิ้ง ที่ไม่เรียกว่าพระราชมนูเพราะตอนเด็กๆคือไอ้ทิ้ง แอฟ-ทักษอร มณีจันทร์ แล้วก็ตัวผมเล่นเป็นพระนเรศวร มันเป็นเฟรมที่ต้องการให้ทุกคนได้มองย้อนกลับ ความสัมพันธ์ตอนเด็ก แล้วโตขึ้นมาความสัมพันธ์เหล่านี้มีการพัฒนา ทั้งในตัวละคร ทั้งความสัมพันธ์ของบุคคลจริง แอฟมีลูกก็ไปเยี่ยมกัน ปีเตอร์กับผมทำงานอยู่ด้วยกัน พี่เอกสรพงษ์ที่กลายเป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่มีพ่อเป็นท่านมุ้ย แล้วมีลูกเป็นผมปีเตอร์แอฟ ฉากนี้เป็นฉากสำคัญที่ถ้าทุกคนได้ดูแล้วจะรู้สึกอมยิ้มนิดๆ กลายเป็นรู้สึกเศร้า เพราะว่ามันเหมือนเป็นการพูดถึงการรบอีกครั้งหนึ่งของพระนเรศวรที่พระองค์จะเสด็จขอรบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะกลับมาฝากบ้านเมืองกลับมาบวช คือเหมือนไปครั้งนี้คือจะขอสละทุกอย่างแล้วในทางโลกจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ทางธรรมเพื่อที่ “ข้าจะกลับมาเป็นองค์ดำคนเดิมของเจ้ามณีจันทร์ คือกลับมามีความสุขเหมือนสมัยก่อน” อยู่กับมหาเถร ไอ้ทิ้งล้างบาตร พระนเรศวรกวาดลานวัด มณีจันทร์ก็อยู่คอยแซว มหาเถรก็คอยดูเด็กสามคนนี้อยู่ในวัดเหมือนเมื่ออยู่ที่หงสาวดี
 
การทำงานที่เรียกได้ว่ามีความพิเศษมากๆของภาคอวสานหงสา คือการที่ท่านมุ้ยขอให้แอฟกลับมาถ่ายทำในขณะที่กำลังตั้งท้อง8เดือน ส่งผลให้ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคอวสานหงสา

ถ้าผมเป็นแอฟผมก็จะรู้สึกดีใจ ซึ่งผมก็เชื่อว่าแอฟรู้สึกแบบนั้น แอฟท้อง8เดือน ท่านต้องการให้เห็นท้องก่อน แล้วเอากลับมาถ่ายใหม่ แต่ผมเชื่อว่าพัฒนาการทางอารมณ์มันดีขึ้น คือแอฟเองเป็นแม่คนจริงๆ ผมเองก็มีลูกแล้ว ทำให้เวลาเราเล่นในหนัง เราใส่อารมณ์เต็มที่ทุ่มทั้งความรู้สึกทางด้านร่างกายและความรู้สึกทางจิตใจ เข้าไปอยู่เป็นพระนเรศวรกับมณีจันทร์จริงๆ กับการที่จะต้องร่ำลากัน ซึ่งจากตรงนี้ทำให้ผมกล้าพูดได้ว่าตลอดระยะเวลา13ปีที่ผ่านมา ผมบอกเสมอว่าผมเชื่อมั่นในท่านมุ้ย ท่านคอยไม่ถ่ายท้ายที่สุดภาพที่มันออกมามันดีจริงๆ ผมเองเอ็นหัวเข่าขาดก็ยังไม่ถ่าย รอผมจนกระทั่งผมเดินขึ้นจากเรือได้ถึงยอมถ่าย ฉากบางฉากรอคอยมาเป็นปี เราเห็นในหนังอาจจะแค่นาทีเดียว หรือไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ แต่มันคุ้มค่า อย่างเช่นฉากที่แอฟกลับเข้ามาถ่ายตอนท้อง 8 เดือน ท่านต้องการบันทึกความสมจริงของตัวมณีจันทร์ที่ท้องลงไปในหนัง ฉันต้องการให้เห็นพุงให้เห็นท้องว่าเขาท้อง ก็จะมีรอยของผ้า คอย คือไปเอาสีมาลองกลบดูซิ อย่าให้เห็นรอยผ้า ความปราณีตเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในทุกๆฉากของหนังวันหนึ่งผมเชื่อว่าเวลาลูกเขาโตที่ดูหนังได้แล้ว เขาก็จะบอกว่านี่ฉากนี่ลูก..น้องปีใหม่อยู่ในท้องแม่นะ ซี่งถ้าเกิดแอฟไม่ท้องขึ้นมานะ คนดูก็คงจะไม่ได้เห็นงานคุณภาพอันนี้หรอก แต่คราวนี้แอฟท้องไงก็เลยได้เห็น สมจริงไปเลยครับ

Q.เป็นเวลา13ปีที่ได้ร่วมงานกับท่านมุ้ย นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

B. ความคิดของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เราเคารพท่านมุ้ย เหมือนกับเมื่อก่อนนี้เป็นครู เดี๋ยวนี้ความเป็นครูก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ท่านเปรียบเป็นเหมือนกับพ่อของกองถ่าย และพ่อคนนี้ก็จะมอบสิ่งที่ดีให้กับทุกคนในกองถ่ายเสมอ อย่างตัวผมเองก็ได้รับการสืบทอดแนวความคิด หรือความรู้ต่างๆหรือวิธีคิดบางอย่างในอีกมุมมองหนึ่ง ที่ผมไม่เคยได้สัมผัสนั่นคือในแง่ของการแสดง ในแง่ของการเทียบเคียงทางประวัติศาสตร์ในสมัยก่อน กับทางประวัติศาสตร์ในสมัยนี้ รวมถึงการปกครอง รวมถึงเรื่องของพระบรมวงศานุวงศ์ที่มันมีความผันเปลี่ยนไปตามวาระโอกาส หรือตามอาณาจักรที่มันมีความเจริญมาเรื่อยๆมาจนกระทั่งถึงในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผมได้ทำงานกับท่านถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตครั้งหนึ่ง จนมาถึงทุกวันนี้ก็เหมือนเป็นครอบครัวท่านก็ยังโทรศัพท์มา เบิร์ดว่างมั้ยไปดูหนังเรื่องนี้กันหน่อย หรือจนถึงคริสต์มาสต์ท่านก็จะชวนไปที่บ้านไปกินข้าวกัน ปีใหม่สงกรานต์ แล้วก็29พ.ย.เป็นวันเกิดของท่านพวกผมนักแสดงก็จะพากันไปอวยพรวันเกิดท่าน ไปขอรับพรจากท่าน คือเรียกได้ว่าท่านได้มอบแต่สิ่งที่ดีให้กับผม และครอบครัว สิ่งที่ไม่ดีท่านมอบให้เป็นข้อคิด อย่างเช่นครอบครัวผม ท่านก็กรุณาคือขอสมรสพระราชทานให้ แต่งงานเป็นประธานในงาน พอมีลูกแล้วท่านก็ถามว่าเป็นไงตัวเล็กเป็นไงบ้าง ก็เรียกได้ว่าก็ผูกผันเหมือนเป็นครอบครัว ตัวหม่อมเองก็เปรียบได้เหมือน กับแม่คนหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษา รวมถึงคุณแมงมุมคุณอดัม ลูกของท่านก็เป็นเหมือนพี่น้องกันนะครับ พอมีอะไรก็จะคอยช่วยเหลือกัน

อยากฝากบอกอะไรกับแฟนๆภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

B. ผมอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคน รวมถึงชาวต่างชาติมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนอวสานหงสา สืบเนื่องมาจากที่ว่า ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคน อยากให้ลองเปิดใจก่อน แล้วเข้ามาดูเถอะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เข้ามาแบบใจโล่งๆ สบายๆ แล้วเอามาเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านจะได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไป ดู1รอบท่านจะได้ข้อคิดอย่างนึ่ง ดู2 รอบท่านจะได้ข้อคิด 3รอบด 6 รอบ 7 รอบ ผมเชื่อว่าทุกรอบที่ดู มันจะได้ข้อคิดกลับไปเสมอ บางคนมาซึมซับหรือมาสัมผัสภาษาที่สวยงาม   บางคนก็มาดูเสื้อผ้าที่สวยงาม บางคนก็มาดูเอาเนื้อหาของมัน บางคนก็มาดูแสงที่สวย ภาพที่สวย เพราะผมเชื่อว่ามารับรองได้อะไรกลับไปอย่างแน่นอนครับภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้คนดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตอย่างมีหลักของการดำเนินชีวิตแน่นอนครับ
 
 

 

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
ข่าวนี้อยู่ในหมวด Star Update และ Tag: , , ติดตาม comment ของข่าวนี้ผ่านทาง RSS feed
Trackbacks are closed, but you can post a comment.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ช่อง 9” ปล่อยของรัว สนุกสรวลใจกับ “ภาคศึกล้างแผ่นดิน”กับ“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเดอะซีรีส์” โดย “คุณชายอดัม”

“ท็อป” พลาดตกหลังม้า!!! ทุ่มสุดตัวเล่นบท “พระชัยบุรี” >>

“อัทธ์” จัดเต็มทุกความซาดิสม์ ถูกใจบท “มังกะยอชวา” สุดโหด! >>

“ทิชา” เล่นบู๊ไม่ห่วงสวย !!! เป็นสาวขาลุยในบท “มณีจันทร์” >>

“เป้-ทวีฤทธิ์” อินจัดบท “พระนเรศวร” เก็บไปละเมอพูดจนภรรยาสะดุ้ง!!! >>