ย้อนความสำเร็จระดับโลกของ “ต้มยำกุ้ง” หนังแอ็คชั่นไทยเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ กับผู้กำกับ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” 8 ปีจากภาคแรก พร้อมเดินหน้าสู่ความมันส์ เหนือปรากฎการณ์ 2 ปีเต็มกว่าจะมาเป็น “ต้มยำกุ้ง 2 (3D)” ภาพยนตร์ REAL ACTION ภาคต่อที่คนทั้งโลกรอคอย

Q : 8 ปีผ่านไปจนมาถึงต้มยำกุ้ง 2(3D) นี่คือภาพยนตร์ Real action ภาคต่อที่ไม่เพียงแค่คนไทย แต่คนทั่วโลกรอคอย ว่ากันว่าเป็นโปรเจ็คต์ฟอร์มยักษ์ของสหมงคลฟิล์มฯที่ใช้ทุนสร้าง เรียกว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างหนังไทยเรื่องหนึ่งมาเลยทีเดียวประมาณว่าเทียบเท่าหนังฝรั่ง Hollywood ทีเดียว

    P: การที่หนังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูง อาจเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วภาพยนตร์แอ็คชั่นมันเลี่ยงไม่ได้  มันต้องมีฉากที่เรียกว่าสร้างความเร้าใจ สร้างความตื่นเต้นให้คนดู แล้วยิ่งคนดูยุคนี้เป็นคนดูที่ได้ดูหนัง Hollywood ฟอร์มยักษ์ไปเยอะแล้ว ถึงจะเป็นCGI.ก็ตาม หรือที่สร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ก็ตาม แต่ว่ามันก็ต้องมีองค์ประกอบของการทำฉากที่ต้องใหญ่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้จะต้องลงทุนสูง แล้วก็การที่เรามาสร้างภาค2 เนี่ยะ…มันห่างจากภาค1ใช้เวลาประมาณ8ปี ต้องมีการสะสมความคิดไว้ว่าถ้าวันหนึ่งตัวผมเองแล้วก็ทีมงานทีมเดิมทั้งพันนา ทั้งจา พนมจะต้องมาทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง มันจะต้องใส่อะไรเข้าไปในนี้ทุกคนก็ทำการบ้านของตัวเองกันทั้งหมด ในส่วนของผมผมก็คิดอยู่เสมอว่าคนดูอยากเห็นอะไร แล้วต้องUpdateอยู่ตลอดว่าในโลกของภาพยนตร์ไปถึงไหน บางครั้งสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันน่าจะโดนใจ เมื่อ 5ปีที่แล้ว 7ปีทีแล้ว กับปีนี้มันต่างกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำไปในต้มยำกุ้งภาค2 จะต้องเป็นสิ่งที่มีการคิดมีการวางแผน มีการคาดเดาแล้วก็ตอบสนองแฟนๆหนังของเราให้สมกับที่เขารอคอย

Q: เอกลักษณ์ความเป็น ต้มยำกุ้ง ที่กลายมาเป็นภาพจำเมื่อพูดถึงหนังไทยที่ประสบความสำเร็จเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นประโยคเด็ดอย่าง “ช้างกูอยู่ไหน” หรือท่วงท่าการต่อสู้ของตัวจาเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพแปลกตาที่เราไม่เคยได้เห็นกับหนังแอ็คชั่นในยุคปัจจุบันที่มีการผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว แล้วในภาค2พี่ปรัช เตรียมอะไรที่ยังคงความเป็นสิ่งที่คนอยากดูและความแปลกใหม่ในเรื่องนี้บ้าง

    P: หลายๆฉากที่สะท้อนกลับมาจากภาค1มีคนพูดถึงฉากหลายๆฉากเหมือนกัน แต่ฉากที่คนพูดถึงเยอะที่สุดจะเป็น ฉาก Long takeสู้4นาทีโดยที่ไม่ตัด แล้วก็มาฉากที่จาสู้กับนาธาน และก็รวมไปถึงท่าหักกระดูกที่ถือว่าแปลกใหม่มากๆในต้มยำกุ้งตรงนั้นเป็นโจทย์ให้เรามาคิดว่าคนที่ประทับใจฉากเหล่านั้นอยากจะเห็นฉากใหม่ๆอะไรของภาค2นี้  ไอ้ตรงนี้คือสิ่งที่ยากมากๆ โดยเฉพาะมันจะมีในส่วนของแอ็คชั่นเกี่ยวกับเรื่องเสี่ยงตายหลากหลายชนิดบางชนิดเป็นเรื่องของเสี่ยงตายในที่สูง บางชนิดเป็นเรื่องของความเร็ว หรือแม้กระทั่งบางชนิดเป็นเรื่องของการต่อสู้ที่เป็นศิลปะการต่อสู้ของมวยไทย ในส่วนของการเสี่ยงตายในที่สูงกับความเร็วเรื่องนี้ผมจับมารวมกัน ก็คือประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นก็คือ “แว้น” มอเตอร์ไซด์ที่ต้องมาmodifyมันให้เป็นหน้าตาหรือใส่Speedความเร็วที่เกินspecของเครื่อง แต่ว่าเสียงจะดังมากเป็นที่รำคาญของคนไทย คือในส่วนตรงนี้ แว้น เองอาจถูกมองว่าเป็นตัวร้ายของสังคมอยู่แล้ว เราจึงคิดว่าการที่เราจับแว้นมาใส่ในหนังเรื่องนี้ มาสู้กับจามันคงเป็นโจทย์ที่คนไทยจะสะใจมาก ถ้าเราจะนำมาใช้ เราก็ต้องไม่ธรรมดาก็ต้องมีการคิดต้องมีการออกแบบว่าการที่จาจะสู้กับมอเตอร์ไซด์ควรจะเป็นอย่างไรเราก็Designว่าให้เขาไปสู้กันบนที่สูงบนดาดฟ้าตึก แต่ว่าไม่ใช่เป็นตึกหลายสิบชั้น เป็นตึกแถว ตึกเล็กๆ3-5ชั้น แล้วก็มีการออกแบบให้เกิดการแอ็คชั่นแบบ non stop ซึ่งเราได้เกือบ 20นาทีสำหรับในการสู้กับมอเตอร์ไซด์ ซึ่งภาพที่ออกมาเป็นที่พอใจของเรามากๆ เพราะเราคิดว่าทำอย่างไรให้มันยาวที่สุดแต่ตอนแรกคิดว่า10 นาที ก็เต็มที่แล้ว พองานออกมา ก็มีบางส่วนที่เราต้องตัดทิ้งบ้าง ก็มี หรือในความแปลกใหม่ที่มีอยู่ในฉากนี้เหมือนกันที่เราคิดว่าน่าจะเป็นความใหม่นะครับ คือการถ่ายด้วยแทนสายตาของคนดูเป็นแอ็คชั่นที่แทนสายตาของคนดู จะว่าไปแล้วมันมีการเลียนแบบภาค1นั่นเอง..ไอ้ฉาก Long take ของต้มยำกุ้งภาค1ที่ยาว 4 นาที แต่เราเปลี่ยนมุมมองทางด้านภาพใหม่จากภาคแรกเปลี่ยนมาเป็นภาคนี้โดยใช้แทนสายตาคนดู แต่ปรากฏว่าพอเราทดลองฉายดูแล้ว อ้า..จะมีคนครึ่งหนึ่งที่มีปัญหาในการดูเพราะว่าหนังเรื่องนี้ เป็นหนัง 3 มิติด้วย แล้วการใช้สายตาขณะนั้นมันเป็นแอ็คชั่นด้วยมันเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำให้คนดูดูแล้วไม่มีปัญหา คือหลายคนดูแล้วจะเวียนหัวปวดตา เราเลยอาจจะต้องมีการลดทอนความยาวมันลงไปบ้าง Ideaที่ใช้กล้องแทนสายตาของบุคคลที่1เราอาจจะคุ้นเคยจากเกมส์หรือว่าหนังของ Hollywood บางเรื่องก็ใช้วิธีนี้ ซึ่งการที่ใช้คอมพิวเตอร์มันคือการทำสิ่งที่เป็นจริงไม่ได้หรืออาจจะเป็นจริงยากมาก พอเรามาทำ เราเลือกนำเสนอด้วยวิธีการให้มันเป็นจริง แล้วใช้นักแสดงจริงๆ แล้วก็ใช้กล้องติดอยู่ที่ตัวนักแสดงและก็ให้เขาแอ็คชั่นจริงๆกับที่สูงเช่นการกระโดดข้ามจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่งกระโดดห้อยตัวโหนหรือไถลตัวไปตามที่ที่ยากๆ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เราคาดหวังมาก แต่เราจะทำอย่างไรให้ภาพมันดู Smooth ดูค่อยๆเลื่อนไปมันก็จะดูไม่ถึงอันตราย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้มันดูค่อนข้างจริง แต่พอจริงมากๆเข้าก็มีปัญหาเรื่องการดู เพราะฉะนั้นไอ้ภาพนี้ผมอาจจะมีให้ดูในเบื้องหลังก็ได้ หรือคุณอาจจะได้ดูในBlue-ray หรือ Dvd. ก็ได้ แต่ว่าในหนังเราก็จะเลือกใช้เป็นระยะๆ เท่าที่จะใช้ได้

Q:เห็นว่านอกจากเรื่องคิวบู๊แอ็คชั่นในต้มยำกุ้ง2ไม่ได้มีเท่านี้ ยังมีอีกเยอะมากชนิดที่สมกับแฟนๆรอคออย ในพาร์ทนักแสดงเองก็มีความแปลกใหม่ด้วย

     P: ครับแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับรสชาติความมันส์ของฉากแอ็คชั่นการต่อสู้ที่ถูกคิดค้นจาก พันนา และท็อป วีระพล ผสมผสานการถ่ายทอดโดยจา พนมในต้มยำกุ้ง2 เรายังได้เหล่านักแสดงที่มีความสามารถทางการแสดงที่ได้รับการยอมรับทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศรวมไปถึงนักแสดงที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ โดยในส่วนของนักสู้ที่จะมาเป็นคู่ปรับของจา พนมตลอดเวลา8ปี ผมมีโอกาสได้รู้จักกับนักสู้จากทั่วโลกที่เขามีความสามารถจริงๆ บางคนอาจถนัดเฉพาะทาง บางคนอาจเป็นพวกฟรีรันนิ่งมีความถนัด และเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการต่อสู้แตกต่างกันไป โดยที่เราพยายามคัดเลือกสรรคนที่มีความสามารถจริงๆ แล้วก็มาร่วมงานกันอย่างเรื่องนี้เราได้มาริส ครัมพ์ มาริสเป็นนักสู้ที่ผมรู้สึกว่าเขาไวมาก และถ้าเขาได้มาสู้กับจาพนม เราก็จะได้เห็นฉากต่อสู้ที่ดูแปลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราจะไม่เคยเห็นจาพนมสู้กับใครที่เร็วขนาดนี้มาก่อน อันนั้นเป็นภาพที่เราจินตนาการ

ในส่วนนักแสดงของไทยนอกเหนือจากนักแสดงจากภาค1ไมว่าจะเป็นหม่ำ เหมือนเป็นคู่ที่ต้องอยู่กับจา และเป็นภาพจำของต้มยำกุ้งภาคแรก ในภาคนี้หม่ำมาเล่นในบทที่ซีเรียสขึ้น เข้มข้นขึ้น แถมเรายังได้จีจ้า ถือได้ว่าเป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของจาพนม กับจีจ้า รวมทั้งเราได้เจอแฟนหนังของพนม คือ RZA(รีช่า) ซึ่งตอนที่เราไปโปรโมทองค์บากจนถึงต้มยำกุ้ง เราก็ได้มีโอกาสเจอกัน และได้คุยถึงงานที่รีซ่ากำลังจะทำ และได้คุยถึงความรู้สึกที่เขาทุ่มให้กับหนังของเรา เราจึงหวังว่าวันหนึ่งเราจะได้ทำงานกับรีซ่าและเรื่องนี้ก็เป็นโอกาสนั้น เราได้รีซ่ามาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกว่าภูมิใจมาก อิ่มใจและอยากขอบคุณมากๆที่เขาให้ใจกับหนังเรื่องนี้มากๆ แล้วบทบาทที่เขาได้เล่นเขาไม่เกี่ยงไม่ว่าภาพพจน์เขาจะเป็นอย่างไร แต่ว่าเราก็คิดว่าตัวคาแรคเตอร์ในหนังเรื่องนี้ที่เราให้ริซ่าแสดง หลายๆอย่างผมก็ถอดมาจากคาแรคเตอร์จริงๆของเขา จากความรู้สึกจริงๆของเขา ผมเชื่อว่าไดอาล็อคที่เขาพูดในหนังเรื่องนี้ถอดมาจากความรู้สึกจริงๆที่เชื่อว่าเขาเป็นจริงๆ  และเราก็ได้นักแสดงอีกท่านหนึ่งก็คือหญิงรฐา โพธิ์งาม ซึ่งปัจจุบันคุณรฐามีผลงานในภาพยนตร์ที่น่าจับตาเยอะ และคุณรฐาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถจริงๆ แล้วก็มีโอกาสได้เล่นหนังของต่างประเทศและมีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีชื่อของต่างประเทศ

Q:ข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญเลยเชื่อว่าหลายๆคน อยากรู้ทำไมถึงตัดสินใจทำต้มยำกุ้งภาค2ออกมา ในรูปแบบของภาพยนตร์REAL ACTION 3มิติ

    P: การที่ตัดสินใจถ่ายทำเรื่องนี้เป็น3มิติ เป็นส่วนหนึ่งมาจากความชอบส่วนตัวด้วยที่ผมเป็นคนชอบดูหนัง3 มิติอยู่แล้ว พอเรามีโอกาสทำ แล้วก็ด้วยความที่เป็นหนังแอ็คชั่นด้วย ผมว่ามันเหมาะสมมันเข้ากัน ภาพของ3มิติถ้าโดยส่วนตัวนะครับผมชอบดูหนัง 3มิติที่ฉายในสวนสนุกนะ เพราะเป็นการสร้างงาน3มิติที่จงใจเล่นกับคนดู เล่นกับความรู้สึกอย่างเดียวเลย โดยที่เนื้อหานี่ไม่สำคัญเลย แต่ว่าพอเรามาทำอยู่ในภาพยนตร์ที่จำเป็นต้องมีการเล่าเรื่องด้วยมีเนื้อหาที่จะต้องสื่อสารกับคนดูด้วย เราจึงต้องมีการออกแบบโดยการใช้ฉาก3มิติที่จะเน้นที่จะเล่นกับคนดู หรือเล่นให้คนดูเกิดการตกใจคงต้องมีเป็นจังหวะๆบางครั้งเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นหมัดเท้าเข่าศอกต่างๆนาๆมันเอื้อต่อการที่เหมือนจะทำให้คนดูรู้สึกว่าเขาจะถูกอันตรายจากการต่อสู้จากมือหมัดเท้าจากนักแสดงบนจออยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องเลือกใช้ อย่างตอนผมถ่ายหนังที่เป็น2มิติปกติเวลาถึงฉากแอ็คชั่น เวลาจาพนมสู้เราไม่สามารถเอากล้องไปใกล้เขาได้เลย  เพราะว่าการสู้เขาต้องไม่พะวงหรือระแวงกับการที่มีกล้องอยู่ใกล้ตัว เพราะฉะนั้นยิ่งกล้องอยู่ไกลเท่าไหร่ เขายิ่งแสดงได้ดีมากเท่านั้น แล้วพอเราทำเป็น 3 มิติ มันกลับกันการที่กล้องยิ่งใกล้ตัวเท่าไหร่ภาพ3มิติจะออกมาดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นอันนี้มันจึงกลายเป็นอันตรายสำหรับนักแสดง และก็อันตรายต่อเครื่องไม้เครื่องมือด้วย เพราะฉะนั้นไอ้ตอนทำเป็นฉาก 3 มิติ เราจึงต้องเลือกใช้เป็นบางจังหวะแล้วภาพที่ออกมาก็ทำให้ทุกคนทีมงานพอใจมาก คือเราจะได้เห็นจาถึงแม้บางครั้งอาจจะเป็นท่าที่คุณๆคุณคุ้นเคยก็ได้ แต่ว่าพอเราเอามาทำเป็น 3 มิติแล้ว มันกลายเป็นความแปลกใหม่นะฮะ มันสวยงามมาก บางภาพระหว่างที่ถ่ายทำผมแทบจะรู้สึกเลยว่าภาพนี้มันน่าจะอยู่ในตัวอย่างหนังในไตเติ้ลได้เลยคือเป็นจาพนมเข่าลอยมาและทิ่มมาข้าง หน้าคนดูกันเลย พูดได้ว่าเป็นช็อตที่เรียกร้องความสนใจได้ดีมากๆ ก็เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะสนุกซึ่งโดยส่วนตัวเราสนุกไปแล้วก็คิดว่าคนดูน่าจะสนุกตามไปด้วยไม่ยาก

Q:การเลือกถ่ายทำในรูปแบบของหนัง3มิติโดยเฉพาะเป็นหนังเรียลแอ็คชั่นในแบบจาพนม เท่าที่ฟังก็ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนวิธีการ แม้แต่กล้องหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการถ่ายทำ เรามีวิธีการรับมือหรือรีดศักยภาพขีดจำกัดในการใช้เทคนิค3มิติออกมารองรับให้ต้มยำกุ้ง2-3Dออกมามันส์สะใจแค่ไหนอย่างไร

    P: ครับ โดยปกติแล้ว ผมเชื่อว่าการถ่ายภาพยนตร์3มิติเราควรที่จะใช้กล้องชุดเดียว หมายถึงเป็นกล้อง3มิติแค่ชุดเดียว แล้วก็พิถีพิถันกับเฟรมทีละเฟรมนะครับ หมายถึงว่าทีละมุมภาพเขาพิถีพิถันกับตรงนั้น แต่ว่าพอเป็นแอ็คชั่นแล้ว ปกติเราต้องใช้กล้องมากกว่า1ชุด แล้วพอเราไปถ่าย3มิติกลายเป็นว่าเรามีกล้อง2ชุดทุกวัน ทุกวันถ่ายทำอย่างน้อยต้องมี2ชุด แล้วก็ตากล้องทั้ง2คนที่เราได้มาก็เป็นผู้กำกับภาพที่เป็นผู้กำกับหนังด้วยโดยเฉพาะหนังแอ็คชั่นธีระวัฒน์ รุจินธรรม (ผกก.ปาฏิหาริย์รักต่างพันธุ์)และเฉลิม วงค์พิมพ์ (ผกก.7ประจัญบาน1-2) เพราะฉะนั้นการเตรียมการสำหรับการถ่ายทำเป็นระบบ3มิติกับหนังเรื่องนี้เราจึงมั่นใจว่ามันจะผ่านมุมมองของคนที่เข้าใจทั้งในเรื่องของเฟรมภาพของหนังแอ็คชั่นได้อย่างดีตลอดจนรวมไปถึงการออกแบบฉากต่อสู้ของพันนาที่ทำการบ้านมาสำหรับเพื่อ3มิติโดยเฉพาะ เราจึงคิดว่าน่าจะเป็นงานที่ผ่านการวางแผนผ่านการเตรียมการผ่านการออกแบบความคิดเพื่อหนังแอ็คชั่นในรูปแบบ3มิติโดยตรง

Q:เพื่อให้เห็นภาพอยากให้พี่ปรัชลองยกตัวอย่างของลักษณะทางด้านภาพในรูปแบบ3มิติที่เราจะได้ดูกันในภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง2-3D

  P: ยกตัวอย่างฉาก3มิติที่จะเกิดขึ้นในทุกๆฉากการต่อสู้ในหนังเรื่องนี้ที่มีแน่นอนนั่ นคือเราต้องเห็นหมัด เห็นเท้า ของจา พนมพุ่งมาที่จอพุ่งมาที่คนดู  แต่ว่าอันที่เราลุ้นว่าภาพออกมามันจะได้อย่างที่เราคิดมั้ย คือฉากที่จา พนมสู้กันกับพวกแว้น แล้วก็ทะลุหลังคาขึ้นมาที่กล้องซึ่งเราต้องให้เขาทะลุมาให้ใกล้ที่สุด รวม ทั้งไอ้เศษกระเบื้องเศษหลังคา ที่กระเด็นมามันต้องเข้าตาคนดู ซึ่งพอเราทำภาพสมบูรณ์เสร็จแล้ว เราก็พอใจ ส่วนอีกฉากหนึ่งที่ทางจาพนมพุ่งออกสะพานสูง ตรงนั้นผมต้องการเห็นจาพนมพุ่งออกมาจากจอเลยจากมิติของจอพอดี และพุ่งมาหาคนดู อันนั้นเป็นสิ่งที่เราพิถีพิถันมากๆภาพออกมาก็เป็นที่พอใจสวยงาม รวมทั้งภาพกว้างๆซึ่งปกติแล้วแอ็คชั่นจะใช้ภาพแคบๆ แต่ว่าสไตล์ของเราจะเป็นภาพกว้างอยู่แล้วแล้วพอเรามาทำเป็น3มิติ ภาพกว้างหลายๆ ภาพที่เราเห็นมิติด้วย มันก็เกิดความแปลกตา เกิดความสวยงามอีกแบบหนึ่ง

Q:มาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากจะรู้แล้วละว่าเรื่องราวของต้มยำกุ้ง2-3Dยังคงเป็นเรื่องราวของนักสู้ที่มาพร้อมกับมวยคชสารรึเปล่า และช้างยังมีบทบาทสำคัญแค่ไหนอย่างไร พระเอกของเรายังตามหาช้างอยู่มั้ย

    P: ในส่วนนี้แน่นอนคือเราต้องทำเรื่องราวของไอ้ขามเหมือนเดิมนะครับแต่ว่าเราจะเล่าว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหลังจากภาค 1 ซึ่งอันดับแรกเลย ผมก็อยากจะเน้นให้บทมันมีความเข้มข้นขึ้น หรือว่ามีอะไรซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมจึงได้ให้ คุณเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ที่เป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง13เกมสยอง เป็นคนรับหน้าที่เขียนบทหนังเรื่องนี้ เราก็ระดมIdeaกัน จนสุดท้ายสิ่งที่เราคิดว่ามันมีคุณค่าของมันอยู่แล้วจากภาค1 ก็คือคาแร็คเตอร์ของพระเอก ของไอ้ขามที่ยังคงเป็นทายาทของทหารจตุลังคบาท เราก็เริ่มต้นจากจุดนี้แล้วก็มาดูว่าหลังจากภาค1ที่เขาได้ช่วยช้างกลับมาแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขา แน่นอนว่าความเป็นความจริงในสังคมที่บางครั้งคนที่มีบุญคุณต่อประเทศต่อแผ่นดิน เขาไม่ถูกเห็นความสำคัญตรงนั้น คนสมัยนี้อาจจะมองข้ามสิ่งเหล่านั้น จุดนี้เป็นจุดเริ่มที่เราคิดบทหนังเรื่องนี้แล้วก็ใส่ปัญหาใส่อุปสรรคเข้าไปบวกกับเหตุการณ์ที่มันต้องเกิดความร้ายแรงขึ้นที่มันค่อนข้างจะทันสมัยกับหนังยุคนี้ด้วยพอผสมผสานเข้าไปแล้วมันทำให้เห็นการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองของไอ้ขามชัดเจนมากขึ้นแล้วก็เห็นต่อยอดถึงสิ่งที่เราปูไว้ตั้งแต่ภาค1ครับซึ่งพอบทเสร็จออกมาหลาย ๆคนรวมทั้งทีมงานพอใจมากกับบทตรงนี้ เราเองอยากจะให้คนดูนอกจากจะสนุกไปกับฉากแอ็คชั่นแล้วยังต้องสนุกกับตัวเรื่องราวด้วย ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันจะแตกต่างจากภาค1โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเราวัดจากเวลาจริงคือ8ปีจากภาค1มาภาค2เราใช้เวลา8ปีจริงๆว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับขาม ซึ่งเราอยากเห็นขามใช้ชีวิตอยู่กับไอ้ขอนซึ่งเป็นลูกของช้างในภาค1ที่ถือได้ว่าเป็นพี่น้องกัน เราอยากเห็นเขาอยู่กันอย่างสงบนะครับ แต่ว่าตัวขามกลับต้องไปพัวพันถึงเรื่องของการฆาตกรรมระดับประเทศ เรียกว่าระดับโลกก็ว่าได้ ซึ่งเราอยากเห็นว่า เขาไปพัวพันได้อย่างไร แล้วก็สิ่งที่ติดตัวมาจากเขาในความเป็นลูกหลานของทหารจตุลังคบาท รวมทั้งไอ้ขอนที่เขามีอยู่แล้วมันเกี่ยวพันอย่างไร ซึ่งแม้แต่ไอ้ขามเองก็คิดไม่ถึงแต่กว่าจะรู้ตัวมันก็กลายเป็นปัญหาที่เขาจะต้องฟันฝ่ามันให้ได้ แล้วต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้

 ซึ่งการดีไซน์เรื่องตรงนี้มันเกิดจากการที่เราตั้งโจทย์ว่ามันมีอะไรบ้างก็ซึ่งโจทย์ตรงนี้พอเราผสมผสานกันเข้าไปก็จะนำพาให้คนดูติดตามเรื่องราวไปจนกระทั่งไคลแม๊กซ์ซึ่งจากที่ผ่านมาผมเชื่อว่าคนดูจะรู้สึกว่าจาหรือไอ้ขามมันเก่งมากคือสู้กับใครในสถานการณ์อะไรจะเก่งมากเหมือนหนังฮีโร่ทั่วไป แต่ในเรื่องนี้เราต้องการให้เห็นความเป็นจริงคือบางครั้งบางสถานการณ์เขาอาจจะเพลี้ยงพล้ำหรือบางสถานการณ์เขาอาจจะเอาตัวไม่รอดจะต้องมีการช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้นภาพของไอ้ขามในภาค2เราอาจจะได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นเขา เราเห็นเขาแพ้??? เห็นเขาสู้ไม่ได้ เรื่องนี้จะต้องมี

Q.ในภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง2-3Dนอกจากตัวละครจากภาคแรกอย่างไอ้ขามที่รับบทโดยจาพนมและ ขอนช้างที่เปรียบได้กับน้องชายแล้วยังมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญในภาคนี้ด้วย

    P: จ่ามาร์คซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คุณหม่ำ จ๊กม๊ก คือปกติแล้วหม่ำต้องได้รับบทที่จะต้องตลกหรือต้องสร้างเสียงหัวเราะให้คนดู แต่จากภาคแรกเราให้จ่ามาร์คมาในบุคลิกที่ซีเรียสจริงจังแต่ว่าตลกอยู่ในสถานการณ์ โดยเฉพาะกับคาแรคเตอร์ที่เขาชอบพูดชอบบ่นอะไรของเขา แต่ในภาคนี้จะเห็นว่าจ่ามาร์คจะซีเรียสมากขึ้นจริงจังมากขึ้น แล้วก็จะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็จะต้องมีการพิสูจน์อาชีพของเขาด้วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าการที่เป็นคนไทยที่ไปเป็นตำรวจอยู่ที่ต่างประเทศมันต้องมีการพิสูจน์อะไรมากกว่าที่เขาอยู่ในเมืองไทย เพราะฉะนั้นในภาคนี้เราจะเห็นจ่ามาร์คที่เป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักไอ้ขามมากที่สุด ทำให้การที่เขาเชื่อใจไอ้ขามมันเป็นความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นที่เขามีอยู่ แต่สถานการณ์รอบข้างมันไม่เป็นไปตามนั้น ตรงนี้จะเป็นการพิสูจน์ถึงความมั่นคงในใจของจ่ามาร์คว่าเขามีต่อไอ้ขามขนาดไหน แล้วก็การที่จ่ามาร์คจะเอาปืนจ่อหน้าไอ้ขามเขารู้สึกอย่างไร มันมีเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดไหนทำให้เขาต้องเอาเอาปืนจ่อหน้าคนที่เขาเชื่อมั่น ซึ่งตรงนี้มันเป็นฉากที่ผมอยากเห็นมากที่สุด แล้วพอผ่านการแสดงฉากนั้นไปแล้วต้องบอกเลยว่าหม่ำเขาทำได้ดีๆมาก ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นนักแสดงตลก

Q: ในต้มยำกุ้ง2-3Dยังมาพร้อมด้วยนักแสดงกลุ่มใหม่ทั้งนักแสดงชาวไทย และชาวต่างชาติ คนแรกที่อยากให้พูดถึงคือหญิง รฐา โพธิ์งาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆและเป็นการกลับมาร่วมงานกับพี่ปรัชในรอบ10ปีเลยทีเดียว ว่ากันว่าญาญ่าหญิงแจ้งเกิดในวงการก็จากฝีมือของพี่ปรัช

      P: หญิง เป็นนักแสดงที่เรียกว่าผมได้มีโอกาสผูกพันกับเขาตั้งแต่ผลงานชิ้นแรกในวงการก็คืออัลบั้มเพลง ผมเชื่อว่าเขาทำได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วจากการที่ทำงานกันทำให้ผมได้มองเห็นความสามารถของเขา ผมได้รู้ว่าหญิงเขามีความฝันสูงสุดคือการที่เขาได้มีผลงานทางด้านภาพยนตร์ระดับโลก แล้วผมก็เห็นเขาพัฒนาตัวเอง เพื่อไปตรงนั้นอย่างชัดเจนมากๆ จนมาถึงวันนี้ผ่านเวลาเป็นมากกว่า10ปี ผมรู้สึกว่าเขายังคงมีความฝันตรงนั้นเหมือนเดิม และก็ยังมั่นคงกับทิศทางที่จะเข้าไป ความสามารถในการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทำได้จริงๆ บทบาทที่เขาต้องได้รับคือเป็นนักฆ่า เพราะฉะนั้นจะต้องมีแอ็คชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยที่จะต้องมีการแสดงในพาร์ทดราม่าร่วมกับดาราใหญ่ระดับHollywoodที่ต้องเข้าฉากด้วยกัน รวมทั้งบทพูดที่ต้องเป็นภาษาอังกฤษที่จะต้องชัดเจนจะต้องดูแล้วกลมกลืน ซึ่งตรงนี้หญิงทำได้ดีมากๆ  คาแรคเตอร์ของเขาจะเล่นเป็นตัวละครที่ถูกเรียกว่าหมายเลข 20 เป็น1ในเหล่านักฆ่าของLC.(ซึ่งแสดงโดยRZA) บุคลิกจะต้องเป็นผู้หญิงเลือดเย็น โดยในความเซ็กซี่ก็จะฉายแววตาของนักฆ่าที่ต้องถ่ายทอดออกมาให้คนดูสัมผัสได้ถึงแม้จะไม่ต้องพูด ในขณะเดียวกันก็จะสามารถเปลี่ยนความเซ็กซี่ที่เห็นให้ตัวเองกลายเป็นอาวุธสังหารได้ทันที พร้อมที่สามารถสังหารผู้คนโดยเฉพาะผู้ชาย พูดได้ว่าเป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดาและยาก   ในการคิดค้นตัวละครแต่ละตัวเราก็จะพยายามวางแบคกราวด์มิติให้ตัวละคร อย่างหมายเลข 20 ที่หญิงต้องถ่ายทอดออกมาก็จะมีปมบางอย่างในชีวิตอันนี้ต้องเข้าไปดูในหนัง  แต่เขาจะซื่อสัตย์กับคนที่มีบุญคุณกับเขาซึ่งก็คือLC.ที่เป็นเหมือนbossและคนรักของเขาด้วยกลายๆ ทำให้ตัวละครตัวนี้ก็จะต้องมีความเลือดเย็น และความร้ายกาจที่คนดูจะต้องรู้สึกได้  ในส่วนของแอ็คชั่นผมมั่นใจตั้งแต่ยังไม่ได้ทดลองถ่ายทำด้วยซ้ำเพราะว่าการที่หญิงเขามีพื้นฐานของนักร้องที่ต้องเต้นไปด้วยผมว่ามันง่ายต่อการที่จะมาฝึกแล้วก็ถ่ายทำ ทุกครั้งที่หญิงเข้าฉาก ผมไม่เคยเป็นห่วงอะไรเลย แล้วก็ทำงานได้ราบรื่นดีมากๆ ทำหน้าที่ได้สวยงามมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทผู้หญิงของLC. ผู้หญิงของตัวร้ายเป็นบทที่เขาทำให้ผมเชื่อได้ว่าเขาเป็นตรงนั้นจริงๆซึ่งจริงๆแล้วในบทตรงนี้มีอะไรซ่อนอยู่มากๆๆนักแสดงจะต้องถ่ายทอดอกมาคนดูรู้สึกแล้วเขาก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกได้ด้วย

Q: ทราบมาว่าในการที่ต้องเล่นแอ็คชั่น พี่ปรัช พี่พันนาและพี่ท็อป(ผกก.และออกแบบคิวบู๊)ถึงกับมีการส่งไปเวิร์คช็อพไปฝึกกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยจริงๆ 

    P:  นักฆ่าหมายเลข20 เราก็จะมีการเตรียมการให้หญิงไปฝึกกับทีมสตั้นท์ของพันนา โดยฝึกกับคุณท็อป(วีระพลผกก.และออกแบบฉากแอ็คชั่น) เหมือนกันที่คุณท็อปทำงานกับจีจ้านะครับจะต่างกันตรงที่ว่าหญิง นอกจากจะสู้ได้แล้วยังต้องมีความเซ็กซี่ด้วยซึ่งตรงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาทำได้จริงๆ ผมอยากเห็นความคล่องแคล่วในการต่อสู้ บวกกับความเซ็กชี่ของเขาในสรีระของเขา เราไม่ต้องการเห็นโป๊จนเกินไป แต่เราพยายามให้ตัวละครตัวนี้คนดูจะต้องรู้สึกได้ถึงความเท่ห์ความเฉียบขาดบวกกับความเซ็กซี่ซึ่งในขณะที่คู่ต่อสู้ซึ่งแน่นนอนอาจจะเป็นผู้ชาย อาจจะเสียสมาธิในความเซ็กซี่ที่มีอยู่ในตัวหมายเลข20 คู่ต่อสู้แต่ละคนต่อให้เก่งแค่ไหนก็ตามก็ต้องแพ้หมายเลข20 อันนี้คือสิ่งที่เราปูเอาไว้ สิ่งที่เราได้รับคือนึกไม่ถึงว่าการแสดงทั้งในส่วนของดราม่าและแอ็คชั่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาจะส่งผลได้ถึงขนาดนี้ พอออกมาแล้วมันเกินจากสิ่งที่เราคิดไว้ซึ่งถือว่าสิ่งที่เขาทำและเตรียมการทำการบ้านมาได้ดีมากๆ

Q: เป็นโปรเจ็คต์อินเตอร์ขนาดนี้แน่นอนว่าย่อมต้องมีนักแสดงต่างชาติมาร่วมด้วยครั้งนี้มีถึง2คนที่พี่ ปรัชเลือกให้มารับบทบาทสำคัญคือเป็นตัวร้ายเป็นคู่ปรับของจาพนม

   P: ครับ ก็จะมี2คนคนแรกก็คือ LC. สวมบทโดย รีซ่า(RZA) ซึ่งตัวละครตัวนี้ผมถอดคาแร็คเตออร์มาจากตัวจริงของรีซ่าที่เขาเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเควินติน ทารันติโน่แล้วการที่เขาชอบหนังบ้าๆ ของ Quentinนี่แหละรวมทั้งพวกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง ผมจึงเอาคาแรคเตอร์ตรงนี้มาใส่ให้ LC. ซึ่งเป็นบทหัวหน้าผู้ร้ายในเรื่อง ตัวละครLC.ที่เราสร้างขึ้นมาต้องเป็นคนที่มีธุรกิจ และภารกิจเกี่ยวพันกับเรื่องผิดกฎหมายอย่างเรื่องการค้าอาวุธ แต่ว่าในขณะเดียวกันเขาก็มีการสะสมความชอบส่วนตัวก็คือสะสมศิลปะการต่อสู้ผ่านตัวบุคคลโดยเขาจะมีเหล่านักสู้อยู่ในคอลเล็คชั่นกำหนดไปเลยว่าใครหมายเลขที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นงานอดิเรกของเขา  แต่จากความชอบส่วนตัวของเขาที่เขาขั้นที่เรียกว่าหลงใหลคลั่งไคล้ขนาดบ้าได้ชนิดที่ว่าถ้าเขาอยู่ใกล้คนที่เก่ง โดยเฉพาะไอ้ขามคนที่เขาจับตามาตั้งแต่ต้มยำกุ้งภาค1 เขาจะรู้สึกได้ว่าเมื่อเขาได้มาอยู่ใกล้ไอ้ขามเมื่อไหร่ความบ้าทางด้านนี้ของเขาจะพุ่งพล่านเข้ามาทันที

Q.การทำงานร่วมกับRZA เป็นอย่างไรบ้าง

     P: ทุกครั้งที่ออกกองถ่ายผมรู้สึกว่าเขาสนุกสนานกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเห็นการซ้อมของสตั้นท์  เห็นทีมงานของกองถ่ายของพวกเรา และก็มาประเทศไทย ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ความตื่นเต้นเขาหมดเลย เลยทำให้คิดว่าการร่วมงานกันครั้งนี้ออกมาดีมากและลงตัวโดยเฉพาะในบทบาทของLC.ที่รีซ่าจะต้องสวมบทบาท แทบไม่ต้องไปบอกเลยว่าจะต้องเล่นอย่างไรคือมันออกมาเป็นธรรมชาติมากๆเลยฉากเปิดตัวเขากับผู้หญิงที่รายล้อมเขามันคือภาพที่ผมเห็นจากมิวสิควีดีโอของเขาเองคือเขาเป็นเหมือนราชาในพื้นที่ของเขา และเขามีความเป็นเด็กอยู่ในตัวอยู่เหมือนกัน ในขณะเดียวกันงานที่เขาทำภารกิจที่เกี่ยวข้องในฐานะตัวร้ายก็พร้อมที่จะส่งผลร้ายต่อสังคม แน่นอนว่าย่อมไม่ได้ส่งผลให้เขาแคร์ในผลร้ายที่จะตามมา กลับกันเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นเหมือนของเล่น เหมือนเป็นการเล่นสนุกไปหมด อันนั้นคือคาแร็คเตอร์ของLCที่เราต้องการและอยากให้เขาถ่ายทอดออกมาซึ่งรีซ่า(RZA)ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง

ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่คือความชอบส่วนตัวของเขาด้วยก็ได้ เหมือนกับที่ตรงนี้ได้ผลักดันให้เขาได้เข้ามาทำหนัง ได้เข้ามากำกับหนังและก็แสดงเองด้วยจากหนังเรื่องก่อนหน้าของเขา(THE MAN WIT THE IRON FITS) เพราะฉะนั้นการที่เราได้ร่วมงานกับเขาบวกกับความเป็นจริงที่ตัวตนของเขาเองก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วทำให้เราทำงานได้ง่าย ได้คล่อง ได้แลกเปลี่ยนความคิด รวมทั้งสุดท้ายแล้วไม่ว่าผมต้องการอะไรเขาก็ให้เราได้เต็มที่เลย บางครั้งเขาก็เสริมIdea เสริมบุคลิกเขา อย่างในเรื่องเราจะเห็นตัวละครตัวนี้ชอบคาบไม้จิ้มฟัน อันนี้เป็นIdeaของเขาเอง และบางครั้งเขาก็ใช้ไม้จิ้มฟันมาร่วมในงานต่อสู้บ้างนิดหน่อยเหมือนมีอยู่ฉากหนึ่งที่เราจะเห็นว่าไอ้ขามถูกพวกของLC.จับตัวมา และนี่เป็นซีนที่ทั้งคู่เจอหน้ากันครั้งแรก ฉากนี้คนดูจะได้เห็นคาแรคเตอร์ของLC.ที่ชัดเจนทั้งในส่วนของความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ ความเลือดเย็น ความโหด และความขี้เล่นที่มีอยู่ในตัวของเขา แล้ววันที่ถ่ายทำฉากนั้นมหัศจรรย์มาก ผมเชื่อว่าเขาออกแบบดีไซน์ตัวเข้าไว้เรียบร้อยแล้วว่าฉากนี้เขาจะเล่นอย่างไร พอเขาเริ่มถ่ายทำเราแทบไม่อยากจะสั่งคัทเลย เราปล่อยให้เขาเล่นฟีลลิ่งมาเหมือนจริงเลย และในฉากนั้นในความที่เขาจะต้องเป็นเหมือนผู้ชายอารมณ์ดี เหมือนคนขี้เล่นเหมือนเด็ก แต่เวลาเขาโกรธขึ้นมาหรือเวลาเขาจะเด็ดขาดขึ้นมาดูมีพลัง ก็เป็นตัวละครที่ผมชอบมากเขาถ่ายทอดได้ดีมากได้อย่างที่เราต้องการมากๆ เรียกว่ามากกว่าที่คิด อยากให้ทุกคนจับตาดูครับ ส่วนฉากต่อสู้ระหว่างรีซ่า กับจา พนมอันนี้ผมรู้ว่ามันเป็นความฝันของเขา เขาอยากจะสู้กับจาพนมในภาพยนตร์ ซึ่งอยากให้ทุกคนสังเกตแววตาของเขา  ผมรู้สึกว่าเขาแทบไม่ต้องแสดงอะไรเลย แค่เขาได้สนุกกับสิ่งที่เขาจะได้ทำ แอ็คชั่นที่เขาต้องสู้กับจาพนม เขาแบบเต็มที่เขาใส่อารมณ์แบบคือเขาอาจจะไม่ใช่นักสู้ที่สู้เก่งที่สุด แต่ว่าจากความที่เขาเชื่อมันจากความที่เขาชอบมันมันส่งผลให้แสดงออกมาแล้วทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริง เป็นฉากต่อสู้ที่ผมรู้สึกสนุกมาก เมื่อเทียบกับฉากอื่นในเรื่อง ต้องยอมรับว่าแต่ฉากนี้มันพิเศษจริงๆ

Q: มาถึงคู่ปรับที่เป็นไฟท์เตอร์คนสำคัญในต้มยำกุ้งภาค2 Marrese crump หรือ “หมายเลข 2”

P: มาริส รับบทเป็นหมายเลข 2 หรือว่าNo.2ซึ่งหมายความว่าเลขยิ่งน้อยถือว่ายิ่งเก่ง จริงๆแล้วเขาเป็นคนเก่งที่สุดในมือของรีซ่า เป็นนักสู้ที่เก่งที่สุด เร็วที่สุด และก็เยือกเย็นที่สุด ซึ่งคงเหมาะสมที่จะต้องมาเจอไอ้ขาม ส่วนไอ้ขามจะแก้มือสู้กับNo.2อย่างไรนั้นเป็นโจทย์หนักที่ไอ้ขามต้องคิด สำหรับตัวมาริสที่มาเป็นผู้ถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ต้องบอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมาเขารู้สึกว่าชีวิตเขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้คือเขาเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก และก็เรียนการต่อสู้หลายๆแบบจากอาจารย์หลายๆที่ แล้วก็จริงจังกับการเรียนมากๆ จุดเด่นของเขาก็คือ ความเร็ว ท่าต่อสู้ของเขาจะเร็วมากๆ จากที่ผมเคยเห็นผลงานเก่าๆของเขา ผมรู้สึกว่าเขาต้องการเจอคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเขาซึ่งแน่นนอนก็คือจา พนมอันนั้นก็คือความฝันอีกอันหนึ่งของเขาเหมือนกัน การที่เราได้ทำงานด้วยกันผมรู้สึกว่าเขาเหมือนหมาบ้าที่พร้อมจะขย้ำใครก็ได้คือต้องมัดเชือกไว้ตลอดเวลา เมื่อใดที่ปล่อยเชือกไว้เท่านั้นแหละไม่หยุดนั้นแหละคือความรู้สึกที่ผมนึกถึงมาริส แล้วพอวันแรกที่เขาได้เจอจาพนม มีการแนะนำให้รู้จักกันแล้วก็ลองให้เขาโชว์ความสามารถของแต่ละคน จริงๆแล้วผมอยากได้ความรู้สึกที่ว่าเขา2คนสู้กันเองให้เหมือนว่าการสู้กันครั้งนี้ผ่านกระบวนการขั้นตอนการคิดออกแบบท่าต่อสู้ในฉากที่เราถ่ายทำออกมาด้วยตัวเขาทั้ง2คนกันเอง ซึ่งแน่นนอนวันที่เราถ่ายทำฉากแรกที่เขาต้องสู้กันความรู้สึกเหมือนเขายังกินไม่อิ่ม ยังเล่นกับมันอยู่ ยังสนุกกับมันอยู่ การที่เราถ่ายฉากวันนั้นรู้สึกว่ามันเบรคไม่ได้เลย แล้วมีความจริงจัง เสียงตุ๊บตั๊บ มันดังมาแบบมันเป็นเสียงจริงๆ ของการต่อสู้จริงๆเลย ซึ่งเสียงเล่านั้นผมก็ใส่เข้าไปในหนังด้วย ซึ่งถ้าเราดูแล้วจะรู้สึกว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นในหนังประเภทการต่อสู้แบบนี้แต่ว่าอันนั้นเป็นความรู้สึกจริงๆที่เขาได้รับ   

Q:แน่นอนว่ายังมีอีกหนึ่งนักสู้ที่มองข้ามไม่ได้เพราะเธอคือจีจ้า ญาณิน และเชื่อว่าหลายๆคนเฝ้าจับตารอดูการปะทะแอ็คชั่นร่วมกันครั้งแรกระหว่างจาพนม และจีจ้าญาณิน

P: ครับพูดถึงจีจ้าในเรื่องนี้รั บบทเป็นหลานของผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับวงการช้างไทย ซึ่งมีเชื้อสายมาจากจีนเรียนวิชามาจากเมืองจีนมีน้องฝาแฝดอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราเลยวางว่าให้จีจ้ามีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธฝังเข็ม การต่อสู้ซึ่งสามารถสู้ด้วยหมัดมือเปล่า รวมทั้งมีเข็มเป็นอาวุธซึ่งบทที่เขาได้รับจะต้องมีการต่อสู้กับจา พนม ซึ่งเราเชื่อได้เลยว่าคนอยากเห็นจีจ้าสู้กับจา พนม และก็รวมทั้งนักต่อสู้เก่งๆหลายๆคนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยที่เขาจะต้องรับมือ เรื่องนี้เขาจะต้องรับบทเป็นคนปกติซึ่งสะสมความแค้นที่จะต้องออกมาในแววตา และก็ในสถานการณ์ที่เขาจะต้องเผชิญอันนี้เป็นสิ่งที่จะมีความแตกต่างจากบทบาทอันเก่าที่เขาเคยเล่น

ฉากที่เขาสู้กับจาพนมอันนั้นเป็นสิ่งที่จ้าจะต้องใส่เต็มที่ซึ่งดูจากการแสดงเขาก็เต็มที่ เพราะเขามีความคุ้นเคยกันมาก่อนในชีวิตจริง เคยซ้อมกันมาก่อน เพราะฉะนั้นเวลาเข้าฉากนี้จ้าเข้าก็ไม่ยั้งเขาเต็มที่เลยซึ่งจาเขาก็โอเค  ไม่แค่นั้นอย่างที่บอกว่าจีจ้าจะต้องมีคู่ต่อสู้หลายคนรวมทั้งนักสู้ที่เป็นชาวต่างชาติอย่างมาริส อย่างฉากที่จีจ้าสู้กับมาริส ซึ่งเรามองว่ามาริสเป็นคนที่เร็วมากน่ากลัวมากอันตรายมาก แต่ว่าจีจ้าจะต้องมีการต่อสู้ในลักษณะทีมเวิร์คของคู่แฝดฉะนั้นการออกแบบฉากจะต้องออกแบบเป็นการต่อสู้ที่มีลักษณะพิเศษการทำ2 คนให้เหมือนเป็นคนเดียวในการต่อสู้ซึ่งบางครั้งก็มีอาวุธมาช่วยด้วยซึ่งอาวุธของจีจ้ากับน้องจะต้องแตกต่างกัน อย่างฉากที่เวลาที่จีจ้าแอ็คชั่นกับมาริสซึ่งในการทำงานแบบนี้บางครั้งเราก็ไม่สามารถไปบล็อกอะไรเขาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเป็นฉากที่ต้องใช้การต่อสู้ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวด้วย อย่างกรณีมาริสกับจีจ้าฉากที่เขาเข้าฉากกันมันก็หยุดไม่ได้มารีสเป็นคนที่เร็วแล้วก็ต่อยแบบไม่ค่อยยั้ง แล้วจีจ้าก็ยังไงเขาก็เป็นผู้หญิงเฉพาะฉากนั้นที่เขาโดนมาริสอัดจะเห็นว่าอัดจริงๆโดนๆแบบกระแทกกันจริงๆดูแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ทั้งๆที่ผมก็อยู่กับฉากนี้มาเยอะ เราดูด้วยสายตาไม่มีทางที่จะเชื่อว่าจีจ้าจะเอาอยู่ เพราะฉะนั้นในเรื่องเราเลยจะต้องให้จีจ้ามีอาวุธเป็นตัวช่วย เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นโม้เกินไปที่ผู้หญิงจะคว่ำผู้ชายแบบนี้ได้

Q:นอกจากนักแสดงหลักๆแล้วทราบมาว่าด้วยความที่ต้มยำกุ้ง2-3Dเป็นโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์มากๆงานนี้ก็เลยมีการระดมทีมงานที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดและอยู่เบื้องหลังหนังแอ็คชั่นทั้งของไทยเองและฮอลลีวู้ดมารวมตัวกันร่วมสร้างปรากฎการณ์ต้มยำกุ้ง2-3Dด้วยกัน

   P:  ครับหนังเรื่องนี้ทีมงานเบื้องหลังเราถือว่าเราได้มือดีอันดับหนึ่งของประเทศไทยทั้งหมดมาร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ พันนา, เซ้ง(กวี ศิริคเณรัตน์) มาจนถึงท็อป วีระพลนะครับ อย่างพันนาเราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเขาเป็นมือหนึ่งของเมืองไทยทำงานมาตั้งแต่องค์บาก เป็นผู้ให้กำเนิดจาพนม,จีจ้า มาจนถึงภาคนี้เราก็ระดมทีมงานทีมเดิมมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง ส่วนท็อปเป็นมือหนึ่งของพันนา ผมได้ทำงานอย่างเต็มตัวกับท็อปในช็อกโกแลตซึ่งเราก็จะได้เห็นว่า ท็อปมีความสามารถเป็นที่ยอมรับว่าทำให้ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งคือจีจ้า ที่มาเป็นนักสู้ที่โลดแล่นในภาพยนตร์ได้ชนิดที่ว่าครองใจคนดูไปแล้วทั่วโลก ส่วนเซ้งเป็นคนที่มีผลงานทั้งหนังไทยและหนังต่างประเทศ โดยเฉพาะหนังต่างประเทศ (อยู่เบื้องหลังฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตายในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่างRAMBO4, THE HANGOVER2) เป็นSTUNT COORDINATOR ระดับฮอลลีวู้ดที่ทำให้แบรนด์ Thai Stuntmen สู่ระดับสากล มาร่วมเสริมทัพความยิ่งใหญ่ให้กับฉากแอ็คชั่นของต้มยำกุ้ง2 อย่างกรณีของเซ้งเขาจะถนัดการถ่ายทำประเภทเสี่ยงอันตรายทั้งในเรื่องของความเร็ว ความสูงต้องมีเครื่องมือสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นพิเศษฉากอันตรายเหล่านั้นต้องมีการออกแบบที่ถูกต้องเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสมซึ่งในเรื่องนี้เซ้งทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี

อย่างฉากที่จาจะต้องกระโดดสะพานกาญจนาภิเษกซึ่งเป็นสะพานที่มีความสูงมากเราก็ออกแบบให้Saveที่สุดในการทำงาน นอกจากจะsaveที่สุดแล้วภาพจะต้องออกมาด้วยภาพที่หวือหวาที่สุดด้วยคือVisualออกมา ต้องตรึงคนดูให้ได้  ซึ่งเซ้งก็ทำได้ดีมากๆและก็ปลอดภัยไม่มีใครบาดเจ็บ รวมทั้งเราจะต้องเห็นStuntทุกคนตกสะพานจริงๆตกไปพร้อมกับมอเตอร์ไซด์เป็นสิ่งที่ตกกันจริงๆไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย และรวมไปถึงฉากรถดริฟท์ เราก็ได้มือดริฟท์รถมือหนึ่งของไทยชื่อหนึ่งเขามีผลงานในการแข่งขันรถดริฟท์ที่เก่งที่สุดในประเทศไทย มีผลงานในหนังโฆษณาต่างประเทศมาหลายเรื่องอยู่เหมือนกันซึ่งในเรื่องนี้เราต้องฝากชีวิตของจาพนมไว้บนหลังรถ คือต้องมีการดริฟท์จริงๆซึ่งจะผิดพลาดไม่ได้เลยเพราะเท่ากับอันตรายถึงชีวิตได้ ก็เป็นฉากที่ทีมงานทุกคนจะลุ้นมากที่สุดเพราะถือว่าเป็นฉากที่อันตรายที่สุดภาพที่ออกมาก็มีทั้งตื่นเต้นทั้งน่ากลัวสวยงาม รวมทั้งเหล่านักสู้นักแสดงแอ็คชั่นที่เคยร่วมงานกันมาหลายเรื่องอาทิ คาซู (พระเอกจีจ้าดื้อสวยดุ) รวมทั้งทีมStuntโคตรสู้โคตรโส เรามีการสู้กันท่ามกลางเปลวไฟที่เราdesignให้เกิดไฟขึ้น ทุกคนจะต้องมีไฟติดตามตัวสู้ไปไฟติดไปด้วย อันนั้นก็เป็นอันตรายอีกแบบ แต่ว่าทุกคนเป็นทีมที่ถือว่ามีความสามารถจริงๆ ทำฉากอันตรายให้ทุกคนไม่มีใครเป็นอันตรายแม้แต่คนเดียว แต่ว่าภาพออกมาน่ากลัวมากฉากสู้กันกลางไฟคือทุกคนมีไฟติดที่ตามตัวตามเท้าด้วยเวลาเตะกันไฟก็ติดหน้าไปด้วยตัวจาโดนด้วย ตัวนักต่อสู้ก็โดนกันด้วยคือโดนไฟกันจริงๆ ก็เพื่อที่เราต้องการให้หนังออกมาเป็นที่ประทับใจคนดูมากที่สุด 

 

Q:ในต้มยำกุ้งภาคแรกจะมีฉากone long take 4นาทีที่จาจะต้องสู้กับสตันท์ไปบนตึก4ชั้นในต้มยำกุ้ง2-3Dมีอะไรที่จะมาสร้างความหวือหวาแปลกใหม่ให้กับคนดู

P: เราตั้งใจที่จะถ่ายแอ็คชั่นในแบบนันสต็อป พยายามที่จะให้คนดูได้เต็มอิ่มกับแอ็คชั่นต่อเนื่องแต่ไม่ได้เป็นone long take เป็นฉากที่คิดว่าน่าจะใช้เวลาถ่ายทำนานที่สุด ก็คงเป็นฉากแอ็คชั่นตั้งแต่จาสู้กับพวกมอเตอร์ไซด์ซึ่งฉากทั้งหมดในเรื่องความยาวประมาณ 14.50 นาที เราใช้เวลาถ่ายทำฉากนี้เกือบ 8 เดือนความยากหลายๆอย่างมันอยู่ที่โจทย์ที่เราตั้งไว้ว่าหนังเรื่องนี้เราต้องการที่จะเห็นภาพกรุงเทพฯ เราเรียกว่าเป็นฉากหลังในมุมมองที่หลายคนที่ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน การถ่ายก็จะยากเป็นพิเศษอย่างกรณีถ่ายฮ.ช็อค(การเอากล้องขึ้นไปถ่ายบนเฮลิคอปเตอร์) ปกติแล้วฮ.ช็อตเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหนังทั่วๆไป แต่ว่าในประเทศไทยการถ่ายฮ.ช็อตเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เราถ่ายโดยต้องมีแอ็คชั่นอยู่ข้างล่างด้วยโดยเฉพาะฉากที่มีมอเตอร์ไซด์ เป็นจำนวน300คันวิ่งอยู่ข้างล่าง เราต้องมีการเคลียร์พื้นที่ข้างล่างพร้อมกันกับการเตรียมการในการถ่ายทำบนท้องฟ้าซึ่งฉากนั้นมีการเตรียมการที่นานเหมือนกัน ยังมีเรื่องของดินฟ้าอากาศอีก กว่าจะถ่ายทำออกมาได้จำได้ว่าเราต้องยกเลิกการถ่ายทำไปประมาณ 2 ครั้งในการที่จะต้องรอให้สภาพอากาศอำนวย รวมทั้งประสบการณ์ของคนขับเฮลิคอปเตอร์ที่อาจไม่คุ้นเคยที่ขับเพื่อจะถ่ายหนังแบบนี้มาก่อนก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงสำหรับทีมงานด้วย รวมทั้งเป็นกล้อง3มิติที่มีน้ำหนักมากกว่ากล้องธรรมดาหลายเท่าด้วยที่ต้องไปอยู่บนเครื่องแล้วตากล้องต้องControlกล้องยื่นออกไปนอกเฮลิคอปเตอร์ด้วย อันนี้ต้องเรียกได้ว่าท้ายความสามารถและการทำงานของผู้กำกับภาพเลยทีเดียว

Q: ในต้มยำกุ้งภาคแรกมียกกองไปถ่ายทำที่ซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย แต่พอภาค2ถ่ายเฉพาะในเมืองไทย ระดับดีกรีความมันส์จะไม่ถูกลดลงหรือ

     P: สำหรับการถ่ายทำทุกอย่างในประเทศไทยบางคนอาจจะคิดว่ามันอาจจะไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับไปถ่ายที่ซิดนี่ย์ เหมือนภาคแรก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เพราะว่าการถ่ายทำที่ต่างประเทศนี่หลายๆอย่างโดยเฉพาะการทำอะไรที่เสี่ยงหรือเกี่ยวกับอันตรายบางอย่างมันจะมีข้อห้ามข้อจำกัดในการทำงานพอสมควรบางครั้งเราไม่สามารถถ่ายได้อย่างที่เราต้องการ แต่พอเรามาถ่ายในกรุงเทพซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของเราเอง เราสามารถใช่จินตนาการถ่ายทำได้เต็มที่ อันตรายที่มันจะเกิดมันเหมือนเราเล่นกันในบ้านของเรา เพราะ ฉะนั้นฉากต่างๆที่เราระดมไอเดียคิดดีไซน์ใส่เข้าไปมันจึงได้อย่างที่เราต้องการเราจึงสนุกได้อย่างที่เราอยากจะทำเต็มที่ ต้องลองดูครับว่าเราจะเห็นหนังแอ็คชั่นในกรุงเทพในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หรืออย่างมีอยู่ฉากหนึ่งที่จาพนมต้องขับมอเตอร์ไซด์หลบพวกกลุ่มแว๊นซึ่งเราอยากให้เห็นว่าพวกแว๊นมาจากทุกทิศทุกทาง ซึ่งเราถ่ายทำที่ห้าแยกสำคัญของกรุงเทพใกล้ๆกับวงเวียน22 แล้วภาพออกมาสวยงามมากๆ เราก็ต้องมีการปิดถนนซึ่งการจราจรแออัดมากๆแล้วก็ต้องเสียเงินกับฉากนั้นเยอะมากๆ มากที่สุดเลย แต่ก็ได้ภาพที่ออกมาสวยงามจริงๆ สำหรับฉากนี้เราต้องปิดจราจรหมดทุกแยกเลย ก็ต้องกราบขออภัยพ่อแม่พี่น้องที่สัญจรไปบริเวณนั้นในวันที่เราถ่ายทำด้วย

Q: ทำให้ในต้มยำกุ้ง2-3Dมีภาพแอ็คชั่นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างฉากจาพนมเสี่ยงตายกระโดดสะพานกาญจนาภิเษกที่ว่ากันว่าสูงที่สุดในประเทศไทย

 P.ใช่ครับ เพราะจา พนมคงไปโดดสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ที่ออสเตรเลียไม่ได้ แต่นี่คืออีกหนึ่งฉากพิเศษที่เราจะได้เห็นจาต้องถูกเหวี่ยงตัวไปนอกสะพานซึ่งเราไปถ่ายทำกันที่สะพานกาญจนาภิเษก ซึ่งถือว่าเป็นสะพานขึงที่มีช่วงกลางแม่น้ำยาวที่สุดในประเทศไทย มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 52 เมตร และถือว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราต้องใช้เครนที่มีความยาว 30 เมตร ไปตั้งบนยอดสะพาน และก็เหวี่ยงตัวจาไปนอกสะพาน  ซึ่งในฉากนั้นจาก็เล่นด้วยตัวเองจริงๆและเหวี่ยงจริงๆซึ่งเป็นงานที่จาพนมเขากล้าแสดงออกมาด้วยตัวเองถึงภาพออกมาแม้จะเห็นเป็นแค่คนตัวเล็กๆในเฟรม แต่ยืนยันว่าเป็นเขาจริงๆ

Q: ท้ายนี้ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์พี่ปรัชอยากฝากอะไรกับภาพยนตร์เรื่องต้มยำกุ้ง2-3Dที่ทุ่มเทใจถ่ายทำกันนานถึง2ปีและตอนนี้พร้อมแล้วที่จะปรากฎออกมาให้คนทั้งโลกได้สัมผัสกัน

    P: ก็ถือว่าเป็นงานที่สำคัญกับทุกคนที่มีส่วนร่วมมากๆ เพราะเรารู้สึกว่าเรากำลังรวมตัวมาทำงานที่ทุกคนจับตาดูและรอคอยที่จะเห็นมัน เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องทุ่มเทแล้วก็จริงจังกับมันจริงๆ ทุกคนจะต้องระดมIdeaรวมทั้งความกล้าความสามารถรวมทั้งการฝึกซ้อมการเตรียมการที่ดีทุกอย่างให้งานชิ้นนี้ออกมาให้ดีที่สุด ซึ่งเราก็หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นผลงานที่ไม่ทำให้คนดูที่รอคอยผิดหวังทีมงานทุกคนถือว่าสำคัญหมดไม่ว่าจะเป็นทีมงานหลัก รวมถึงทีมงานที่มีส่วนร่วมทุกคนอย่างน้อยใน1กองในหนึ่งวันที่เราออกไปกองถ่ายเราจะต้องมีประมาณ200ชีวิต แล้วอย่างมากบางวันก็เป็นพันชีวิตซึ่งเราก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยไม่มีอันตรายถึงชีวิตกับใครเลย แล้วคุณจะได้เห็นหนังแอ็คชั่นที่ถือว่ามีความยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคนซึ่งเป็นหนังไทย3มิติแอ็คชั่นเรื่องแรกก็ว่าได้ ซึ่งหวังว่าคนดูจะพึงพอใจกับเรื่องนี้ อยากให้มาลองดูกันครับ ต้มยำกุ้ง2 (3D) 23 ตุลาคม นี้ครับ

 

ที่มา:  ประชาสัมพันธ์
บันทึกภาพ:  ประชาสัมพันธ์
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
ข่าวนี้อยู่ในหมวด Movie Update และ Tag: , , , ติดตาม comment ของข่าวนี้ผ่านทาง RSS feed
Trackbacks are closed, but you can post a comment.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ปรัชญา ปิ่นแก้ว” นำทีมผู้กำกับฯ ชื่อดัง ร่วมตัดสินภาพยนตร์สั้น “ปลุกจิตสำนึกรู้คุณแผ่นดินปีที่ 8” >>

“ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ตีความกระสือใหม่ ใน “SisterS กระสือสยาม” เตรียมกลายร่าง แหวกทุกความระทึก 4 เมษายนนี้ >>

เดินหน้ามอบความสุข เปิด “ของขวัญ” อย่างเป็นทางการ ส่งต่อความดีให้ทุกคนดูฟรี! ที่โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ >>

“ปรัชญา ปิ่นแก้ว” ส่ง “The Letter” และการผจญภัยของเด็กน้อย เป็น “ของขวัญ” บันดาลพลังใจ >>

บทสัมภาษณ์ 4 ผู้กำกับ 4 ภาพยนตร์สั้น ในโปรเจกต์ “ของขวัญ” ภาพยนตร์แห่งแรงบันดาลใจ มอบให้คนไทยดูฟรีทั้งประเทศ >>