คุยกับ โซชิ มัทสึโมโตะ ผู้กำกับและเขียนบท หนังฮิตขวัญใจผู้ชม It’s a Summer Film! (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้ ! >>

Q.แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้

ผมได้พูดคุยกับคุณ นาโอยูกิ มิอุระนักเขียนบทละคร ที่มีโอกาสร่วมงานกันหลายต่อหลายครั้งว่า อยากทำหนังยาวบ้างเนอะ จนราวๆฤดูใบไม้ผลิปี 2018 เราก็เริ่มจัดการประชุมเพื่อวางแผนสร้างหนังยาวขึ้น ส่วนใหญ่พวกผมก็พากันไปซาวน่าแล้วพูดคุยกันเรื่องผลงานที่ได้ชมได้อ่านในช่วงที่ผ่านมาแล้วค่อยคุยกันเรื่องแผนและบทกันแบบคร่าวๆ จนวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราเข้าซาวน่าเสร็จแล้วนั่งคุยกันที่โรงอาหารจนถึงเช้า วันนั้นเราคุยกันจนจากโครงเรื่องที่ไม่มีอะไรจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทั้งบทหลักและคาแรคเตอร์ของตัวละคร คืนนั้นต่างคนต่างไอเดียพุ่งกระฉูด ผมยังจำความตื่นเต้นในตอนนั้นได้เลย มันเจ๋งแน่ๆ ถ้าทำตามนี้ได้  ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยครับในชีวิต (จากนั้น เพื่อนของพวกเราอย่างคุณ โคเฮ อิไนสุมิ บรรณาธิการหนังสือการ์ตูน และ คุณมิยาโมโตะ โอคุยามะ แห่ง LOLO Productiondก็เข้ามาร่วมด้วย) ในระหว่างการประชุมวางแผน ผมคิดว่า บทนำเรื่องนี้ต้องเป็นคุณมาริกะ อิโตะ เท่านั้น วันถัดมาจึงใช้เส้นสายคนรู้จักติดต่อผู้จัดการของคุณ มาริกะ อิโตะ แล้วให้เธอพิจารณาบทจนสุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ออกมาจนได้ครับ

Q.เหตุผลที่เลือกคุณอิโตะ และคุณ คาเนโกะมารับบทนำ

ตัวละครหลักอย่างฮาดาชิ คือเด็กม.ปลายที่มีแพชชั่นอย่างแรงกล้าในการสร้างผลงาน คนที่น่าจะต่อสู้ด้วยดาบได้ พอคิดอย่างนั้นแล้วชื่อของคุณมาริกะ อิโตะ  ลอยขึ้นมาทันทีเลยครับ คุณอิโตะเองก็เป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะอยู่แล้ว อีกทั้งภาพที่เธอแสดงและเต้นไปด้วยใน “Hajimarika,” เป็นภาพจำที่ติดหัวอยู่ ถ้าเทียบกับบทฮาดาชิแล้วเราค่อนข้างใช้เวลาในการคิดภาพลักษณ์ที่อยากให้เป็นของบท รินทาโระ นานอยู่เหมือนกัน จนได้เจอกับคุ ไดจิ คาเนโกะ ด้วยท่าทางการยืนที่สง่าผ่าเผย อีกทั้งแววตาของเขาทำให้ผมมั่นใจว่า “นี่แหละรินทาโระ!” (ในหนังฮาดาชิก็พูดแบบเดียวกัน ความรู้สึกของผมไม่ต่างจากเธอในหนังเลย) ทั้งบทชายหนุ่มผอมสูงจากเรื่อง Fujoshi, Ukkari Gei Ni Tsugeru ที่เขาเคยเล่นทำให้ภาพลักษณ์ของรินทาโระ เด่นชัดขึ้นมา ทั้งคาแรคเตอร์ของเจ้าตัวที่มีสีหน้าดูเหมือนจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่พอเจอตัวแล้วกลับเป็นมิตร (แถมยังไฟแรง) ก็ดูเหมาะกับ รินทาโระดีครับ

  1. ได้ไอเดียภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากไหน?

ก่อนอื่นเลย ผมเริ่มคิดโครงเรื่องด้วยคอนเซ็ปที่ว่า อยากทำหนังฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เน้นความโรแมนติก → อยากพูดถึงเหล่าวัยรุ่นที่ตั้งใจสร้างอะไรบางอย่าง → อยากให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างหนังดราม่าประวัติศาสตร์โดยโอตาคุละครประวัติศาสตร์ ให้ตัวเอกของเรื่องเป็นคนชอบสวนกระแส มีความชื่นชอบในนักแสดงละครประวัติศาสตร์สมัยก่อน → มีคนจากอนาคตที่เป็นแฟนคลับของตัวเอกย้อนเวลามาร่วมสร้างภาพยนตร์ด้วยกัน

ผมรู้สึกว่าการที่ลูกศรโยงระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคตล้อกันไปล้อกันมาแบบนี้มันน่าสนุกดี  รู้สึกว่ามันน่าสนใจที่ปลายมันบรรจับกันตอนท้ายเรื่องแล้วมุ่งไปสู่อนาคตเหมือนกัน ผมเชื่อว่าการก้าวจากอดีตสู่อนาคตสามารถทำได้และมันทับซ้อนกับการสร้างภาพยนตร์ด้วย

 

Q:มีผลงานใดบ้างที่ใช้อ้างอิงในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม

พวกจังหวะการดำเนินเรื่องของ “Water Boys” ผลงานชิ้นเอกของสโมสรภาพยนตร์ระดับไฮสคูลมีประโยชน์มากตอนคิดพล็อตเรื่องครับ อย่างภาพยนตร์เรื่อง “Linda Linda Linda” ก็ถือเป็นภาพยนตร์โปรดของผม ในหนังมี “ฉากตามหานักร้องนำของวงในสวน” ผมเลยหยิบล้อเป็นฉาก “ตามหานักแสดงนำ”ในเรื่อง ผมย้อนกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Girl Who Leapt Through Time อยู่หลายครั้ง อย่างภาพยนตร์เรื่อง “Location” ที่กำกับโดย อซุมะ โมริซากิ ที่ขอบเขตของนิยายมันคลุมเครือในตอนท้ายก็มีประโยชน์เช่นกัน  ฉากไคลแม็กซ์ในโรงยิมของภาพยนตร์อเมริกาชื่อดังเรื่อง “Rushmore” ก็ด้วย อีกทั้งผมยังได้แรงบันดาลใจจากเนื้อเพลง Oldies ของแร็ปเปอร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ PUNPEE ด้วยครับ

Q: ที่ผ่านมาคุณเคยมีส่วนร่วมในในการสร้างโฆษณาและมิวสิควิดีโอมาบ้างแล้ว ได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในการสร้างภาพยนตร์ไหม นอกจากนี้ ช่วยเล่าถึงความแตกต่างด้วย

ผมรู้สึกว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการสร้างโฆษณาและมิวสิกวิดีโอถูกใช้ในฉาก ภาพสเกตช์ที่ไม่มีบทสนทนา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถ่ายทำหนึ่งตัวละครนานขนาดนี้ ดังนั้นประสบการณ์ในการทำความรู้จักกับตัวละครในขณะถ่ายทำจึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก

Q: อะไรที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่พิถีพิถันเป็นพิเศษ

ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือการปูเรื่องขึ้นเพื่อฉากสุดท้าย ดังนั้นผมจึงคิดเสมอว่าจะเดินเรื่องไปฉากสุดท้ายอย่างไรโดยไม่ให้มันจาง ผมอยากพาคนดูไปจนถึงฉากสุดท้าย พอกันกับความกระตือรือร้นของฮาดาชิที่ลากเพื่อนๆและคนรอบตัวมาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ความกระตือรือร้นของฮาดาชิไม่มีทางโกหกความรู้สึกชอบที่เธอมีให้แก่ละครประวัติศาสตร์และความอยากสร้างภาพยนตร์ของเธอ ผมจึงมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับคุณ อิโตะ ก่อนการถ่ายทำหลายครั้ง

 

  1. ความรู้สึกหลังผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จสิ้น

จนกว่าหนังจะเสร็จ มีปัญหาอยู่มากมายครับ  (มีการพักการถ่ายทำไปเพราะ COVID-19) ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไฟที่แรงกล้าจากการพูดคุยกันคืนนั้นจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้นจอใหญ่ ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสผู้กำกับมือใหม่คนนี้ด้วยครับ

 

  1. It’s a Summer Film” ได้แฝงความรู้สึกอะไรไว้ในชื่อภาพยนตร์รึเปล่า

“It’s a Summer Film” กับแนวคิดที่ว่า หนัง = ไทม์แมชชีน  เหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนไปด้วย

Q.ในฐานะผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยากฝากอะไรถึงคนดูบ้าง

ผมยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าอยากจะฝากอะไรถึงคนดู ในภาพยนตร์เรื่องนี้แม้จะมีการทำภาพยนตร์เป็นแรงจูงใจอยู่ แต่สิ่งที่อยากจะสื่อไม่ใช่ “ความรักที่มีต่อภาพยนตร์” ครับ แต่เป็นความชื่นชอบ ความชื่นชอบในละครประวัติศาสตร์ของฮาดาชิ มันดึงดูดให้ได้พบกับรินทาโระ “ความรู้สึกชอบมันถูกส่งต่อให้ใครบางคน แล้วมันก็ยังทำให้ใครบางคนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง” ผมเชื่อในพลังในการชื่นชอบอะไรสักอย่าง

 

Q.จากนี้อยากสร้างผลงานแบบไหน

อยากสร้างผลงานที่มีความ POP และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานครับ

 

 

 

It’s a Summer Film!  (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้ !

17 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์

 

ตัวอย่างภาพยนตร์

ที่มา:  ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บันทึกภาพ:  ฝ่ายประชาสัมพันธ์
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
ข่าวนี้อยู่ในหมวด Movie Update และ Tag: ติดตาม comment ของข่าวนี้ผ่านทาง RSS feed
Trackbacks are closed, but you can post a comment.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง