“จันดารา ปัจฉิมบท” บทสรุปแห่งการล้างแค้น พลิกผันชะตาชีวิตอันมิอาจคาดเดา

บทสรุปของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม

จากปฐมบทที่เป็นต้นกำเนิดของเหตุการณ์

สู่ปัจฉิมบทเรื่องราวดราม่า-พีเรียดที่ต้องจับตา

การกลับสู่บ้านวิสนันท์อีกครั้ง ในฐานะเจ้าของบ้าน

เพื่อทวงทุกอย่างอันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมคืนจากคุณหลวง

การแก้แค้น และช่วงเวลาของการเอาคืน

บทสรุปของสังวาสนาฏกรรมอันลือเลื่อง ที่จะปรากฏสู่สายตาคุณ

โศกนาฏกรรมชีวิตของ “จัน ดารา” แวดล้อมไปด้วยผู้คนรอบข้างที่สะท้อนมวลอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ ความเคียดแค้น กิเลสตัณหา และกามารมณ์อันนำมาซึ่งการพลิกผันในชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในบ้านพิจิตรวานิช ทำให้ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) และ “เคน กระทิงทอง” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) สหายสนิทของเขาต้องหนีภัยอันเกิดจากการกระทำอันเหี้ยมโหดของ “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้านานถึง 17 ปี ไปพำนักอยู่กับ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” (รัดเกล้า อามระดิษ) ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เมืองพิจิตร

ช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่เมืองพิจิตรนี้ จันเป็นสุขทั้งกายใจ และรู้สึกถึงอิสรภาพของชีวิตอย่างแท้จริง เขายังคงติดต่อทางจดหมายกับ “ไฮซินธ์” (สาวิกา ไชยเดช) เพื่อนหญิงในดวงใจอันเป็นรักบริสุทธิ์ของเขาอยู่เสมอมา และคาดหวังว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อันสดใสที่เมืองนี้พร้อมๆ กับการตามค้นหาพ่อแท้ๆ ของเขาไปด้วย

แต่เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งให้วันชื่นคืนสุขอยู่กับเขาเพียงไม่นาน เมื่อในที่สุดจันก็ได้ล่วงรู้ความจริงอันไม่คาดฝันเรื่องพ่อผู้ให้กำเนิดแท้จริงที่เขารอคอยมานานจากปากคำของ “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) ผู้กุมความลับอันน่าอดสูเกี่ยวกับตระกูลพิจิตรวานิชนี้ไว้มาตลอดทั้งชีวิต

จันพยายามทำใจให้ผ่านช่วงชีวิตอันแสนทุกข์ทรมานนี้ไปให้ได้ จนกระทั่ง “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) ได้เดินทางมาแจ้งข่าวเรื่องคุณหลวงล้มป่วยลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากเกิดเหตุบางอย่างขึ้นกับ “คุณแก้ว” (โช นิชิโนะ) และ “คุณขจร” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา)

และแล้วสงครามแห่งการชำระแค้นและทวงคืนทุกอย่างให้กลับมาเป็นของเขาและตระกูลพิจิตรวานิชก็ได้เปิดฉากขึ้นในทันทีตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณท้าวยายผู้คอยบงการและพลิกผันชะตาชีวิตของจันให้ตกอยู่ในด้านมืดอย่างคาดไม่ถึง

จันกลับมาอย่างสง่าผ่าเผยในฐานะเจ้าของบ้านคนใหม่ และมีสิทธิในทรัพย์สมบัติและอำนาจทั้งหมดภายในบ้าน แต่เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของเขา เมื่อสัตว์ร้ายและตัณหาราคะในใจปะทุออกมาอย่างรุนแรง เมื่อเขาเห็นภาพ “คุณบุญเลื่อง” (รฐา โพธิ์งาม) กับคุณหลวงยังรักใคร่กันเป็นอย่างดี จันจึงใช้เสน่ห์แห่งความเป็นชายหนุ่มรูปงามหลอกล่อจนคุณบุญเลื่องตกเป็นของเขาอย่างสมยอม และเมื่อคุณหลวงได้เห็นภาพร่วมรักอันเร่าร้อนของทั้งคู่ ทำให้เขาสิ้นสติและกลายเป็นอัมพาตไปในที่สุด

กระจกเงาแห่งความชั่วร้ายได้สะท้อนภาพคุณหลวงมาสู่ตัวจันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

การล้างแค้นอันน่าขยะแขยงนี้ดูเหมือนจะปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบด้วยชัยชนะของจัน ดาราแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเขาไม่ได้รับบทเรียนชีวิตอันยิ่งใหญ่จากศัตรูคู่อาฆาตอย่างคุณแก้วที่เอาคืนจันอย่างสาสม รวมถึงคนรอบข้างที่คอยห่วงใยเขาเสมอมาอย่างน้าวาด, เคน และคุณบุญเลื่องที่ค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากจันไปเรื่อยๆ

อำนาจและทรัพย์สมบัติจะมีค่าอะไร หากไร้คนที่รักและห่วงใยเราอย่างจริงใจอยู่เคียงข้าง

จากวรรณกรรมอมตะสู่ภาพยนตร์คุณภาพแห่งปี

“นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งต้องขอบอกกล่าวไว้เสียด้วยว่า เป็นเรื่องอ่านเล่น ซึ่งไม่ใช่ของสำหรับเด็ก และเป็นของแสลงอย่างยิ่งสำหรับบุคคลประเภท ‘มือถือสาก ปากถือศีล’

 “เรื่องของจัน ดารา” จัดเป็นงานที่พรรณนาภาพอันน่าสังเวชของมนุษย์ที่ตกอยู่ใน “เขาวงกตแห่งกามตัณหา” นักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” เขียนเรื่องนี้อย่างผู้ที่มากด้วย “ประสบการณ์” และ “ประสบกาม” จัดได้ว่าเป็นแบบ “อัตถนิยมแท้ๆ” (Realism) เล่มหนึ่งของวงวรรณกรรมไทย

ความน่าสนใจของวรรณกรรมเรื่องนี้ มิใช่การรจนาอันละเมียดละไมอย่าง “วิจิตรบรรจง” ใน “บทอัศจรรย์เชิงสังวาส” แต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่การสร้างสรรค์ลักษณะนิสัยของ “ตัวละคร” ทุกตัวอย่างมีจิตวิญญาณและเลือดเนื้อ เป็นมนุษย์ปุถุชนในโลกของความเป็นจริง ทุกตัวละครล้วนมี “มิติ” ของความเป็น “คน” ที่พบเห็นได้สัมผัสได้ในทุกยุคทุกสมัย มีทั้งด้านดีและเลวคละเคล้ากันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลทาง “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันป็น “เบ้าหลอม” ทำให้มนุษย์ก่อพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นไปใน “ด้านบวก” หรือ “ด้านลบ”

ตัวละครอย่าง “จัน ดารา” จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของชะตากรรมที่น่าสังเวช อันมีเหตุมาจาก “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันโหดร้ายทารุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ที่เราเลือกทำ ‘จัน ดารา’ ในตอนนี้ก็เพราะรู้สึกว่า โดยเนื้อหาสาระจากหนังสือที่อุษณา เพลิงธรรม (ประมูล อุณหธูป) เขียน ถึงแม้ว่าจะเขียนมานานเกือบ 50 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาสาระก็ยังทันสมัยมาก ยังสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ และเหมือนเป็นกระจกที่จะสะท้อนให้เห็นกิเลสในใจของคน มันไม่ใช่แค่ตัณหาราคะอย่างเดียว แต่คนที่ยึดมั่นกับความเคียดแค้นมันจะก่อให้เกิดปัญหาและหายนะยังไงกับตัวเองและคนรอบข้างจนนำไปสู่ปัญหาสังคมในระดับรวมด้วย”

“จัน ดารา” เวอร์ชั่นดัดแปลงโดยผู้กำกับมือเอก “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” นี้ สะท้อนภาพความวิปริตของมนุษย์แต่ละคน เพื่อชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของ “สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ความหิวโหยความรัก ความทารุณเหี้ยมเกรียม ตัวอย่างโสมม” ที่ประทับหูประทับตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเบ้าหลอมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

คนที่จะปีนขึ้นจากเบ้าหลอมนี้ได้ จะต้องอาศัย “ความแกร่ง” ชนิดพิเศษ และ “กรรมดี” ช่วยสนับสนุนประกอบกัน

แต่เผอิญ “จัน ดารา” ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เขาจึงตกเป็นเหยื่อของสิ่งแวดล้อมนั้นอย่างน่าสมเพช

บทสรุปแห่งมหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา ปัจฉิมบท”

บทสรุปแห่งการล้างแค้นอันสืบเนื่องมาจากอดีตอันแสนรันทดของ “จัน ดารา” ผู้ถูก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้ที่เขาคิดว่าเป็นบิดาบังเกิดเกล้าทารุณกรรมมานานนับ 17 ปี ส่งผลให้เกิดการชิงอำนาจใน “บ้านพิจิตรวานิช” กลับคืนมาครอบครอง โดยใช้ตัณหาราคะและโทสะจริตเป็น “อาวุธ” ในการก่อกรรมทำเข็ญโดยปราศจากศีลธรรมจรรยาอันเป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมแก่ทุกชีวิตในครอบครัวอันมั่งคั่งแห่งนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “จัน ดารา” ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้คนรอบข้างจนวาระสุดท้าย

“ใน ‘จันดารา ปัจฉิมบท’ จะเป็นบทสรุปของชีวิตจัน ดาราซึ่งเป็นภาคต่อจากภาคปฐมบท หลังจากที่จันและเคนได้หนีไปอยู่กับคุณท้าวยายที่พิจิตร ที่นั่นจันก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และได้ออกตามหาพ่อที่แท้จริงของเขาจนได้พบกับความจริงอันน่ารันทดใจ ขณะเดียวกันคุณท้าวยายก็พยายามชักจูงและฝังหัวให้จันกลับไปแก้แค้นเอาทรัพย์สินมรดกคืนจากคุณหลวงให้ได้ และเมื่อโอกาสแก้แค้นเอาคืนมาถึง จันก็เริ่มล้างแค้นในสิ่งที่ตัวเองเคยได้รับมาจากคุณหลวงตั้งแต่วัยเด็ก และเพื่อทดแทนบุญคุณคุณท้าวยาย รวมถึงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตระกูลพิจิตรวานิชด้วย ซึ่งความรุนแรงจากการแก้แค้นของจันนี้เองที่ทำให้เขาเดินไปสู่หายนะ และที่สำคัญคือจันก็ได้ใช้กามารมณ์ในการแก้แค้นเพื่อชิงอำนาจคืนมาจากคุณหลวง เช่นเดียวกับที่คุณหลวงเคยทำเมื่อก่อนที่จันจะเกิด ฉะนั้นโศกนาฏกรรมของจันจึงเกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาซึ่งอำนาจของตน ในภาคนี้ก็จะบอกถึงผลอันเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากภาคแรกนั่นเอง”

หลากหลายฉากอีโรติก…ความรัก ความใคร่ หรืออาวุธประหัตประหาร

“จัน ดารา” เป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ประกอบขึ้นและรายล้อมไปด้วยกิเลสตัณหา และกามารมณ์อันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่สามารถให้ทั้งคุณเมื่อใช้อย่างเหมาะสม และหนีไม่พ้นที่จะให้บทลงโทษเมื่อใช้มันไปในทางที่ผิดและเกินพอดี เฉกเช่นบางตัวละครในเรื่องจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

เช่นนี้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเสนอหลากหลายฉากอีโรติก เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง “เซ็กส์” ในหลากหลายมุมมอง

ถ้าเกิดคุณจะทำจัน ดารามันก็หนีเรื่องอีโรติกไปไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเรื่องทีเดียว มันเป็นไปตามท้องเรื่อง ตามลักษณะนิสัยของตัวละครทั้งหมด จะพูดว่าหวือหวากว่าหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าจะพูดแล้วโดยแท้มันไม่ใช่ภาพยนตร์กามารมณ์ จริงๆ มันเป็นภาพยนตร์ชีวิตซะมากกว่า แล้วชีวิตคนเรามันก็มีตั้งหลายแบบหลายบทบาทในหนึ่งวัน ทั้งความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ ความเป็นสามี ความเป็นแฟน ความเป็นหน้าที่ในการทำงาน มันมีคุณความดี มีความไม่ดี การกินข้าว การนอน เพราะฉะนั้นเรื่องกามารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเด่นไปกว่าส่วนอื่นเลย

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทุกพฤติกรรมของตัวละครมีความสำคัญเท่าๆ กันหมดเพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าอะไรมันสำคัญกว่ากัน คุณจะมองว่าชีวิตคนจะมองเรื่องเพศอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ มนุษย์เราไม่มีใครมานั่งคิดแต่เรื่องเพศตลอด 24 ชั่วโมง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำดี ไหว้พระ สวดมนต์ ทำอาหาร ทำงาน หรือว่าการมีสังวาสกันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นธรรมชาติมากๆ ของมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นทุกอย่างในเรื่องนี้เป็นชีวิตของมนุษย์ ทุกพฤติกรรมที่อยู่ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่มีอะไรสำคัญมากน้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าจะพูดไปมันคือภาพยนตร์ชีวิต เพียงแต่ว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นอาจจะไม่มี อย่างถ้าเป็นหนังสงคราม มันก็ต้องมีความโหดร้ายน่ากลัวของสงคราม เรื่องนี้ในเมื่อตัวละครใช้กามารมณ์เป็นอาวุธในการแก้แค้น ตรงนี้ก็มีน้ำหนักเดียวที่เราควรจะเน้นไปตามท้องเรื่องเท่านั้นเอง”

เหตุใด “จัน ดารา” ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้

มนุษย์เราทุกคนล้วนแล้วแต่เกิดมาด้วยดวงจิตอันสะอาดบริสุทธิ์ แต่ “สภาพแวดล้อม” และ “บุคคลผู้ใกล้ชิด” ต่างหากที่เป็นผู้แต่งเติมสีสันให้เป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกันไปเปรียบได้กับผ้าใบของจิตรกร หากได้รับการแต่งแต้มสีสันจากจิตรกรที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ภาพนั้นก็จะงามวิจิตร

แต่ชีวิตของ “จัน ดารา” มิได้เป็นเช่นนั้น

เขาถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสงครามแห่งความแค้นและการแย่งชิงอำนาจเพื่อความเป็นใหญ่ในครอบครัว ตลอดจนบรรยากาศแห่ง “กามราคะ” ที่คละคลุ้งอยู่ในทุกอณูของคฤหาสน์ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การตั้งข้อกังขาว่า บิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขาเกิดมามีชิวิตอยู่บนโลกนี้จากผู้ใดและมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

เมื่อเขาเดินทางไปเมืองพิจิตรเพื่อลี้ภัยจาก “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” ผู้จ้องจะเอาชีวิตของเขา และเผชิญกับ “ความจริง” อันน่ารันทดใจเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา มันจึงเป็นเสมือนเปลวเพลิงที่จุดประกายความแค้นอันเผาผลาญคุณงามความดีทั้งปวงในจิตใจอันเปราะบางของเขา

“จัน ดารา” จึงกลับกลายเป็น “ผู้ล้างแค้น” อันโหดเหี้ยมยิ่งไปกว่า “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” อย่างถึงที่สุด

“ในภาคปัจฉิมบทนี้จันได้เปลี่ยนไปในทางลบ ซึ่งต่างจากจันที่แสนจะเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และอ่อนโยนในภาคปฐมบท คือจะกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากคุณหลวงตอนวัยหนุ่มเลย แล้วก็ดูเหมือนจะใช้วิธีการที่รุนแรงกว่าคุณหลวงซะด้วยซ้ำไป ทำให้เห็นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้เป็นกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น สิ่งที่คุณหลวงเคยได้ทำกับจัน จันก็ได้ทำคืนกับคุณหลวง มันเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ไม่เคยได้อำนาจ แล้วพอได้อำนาจมาแล้วก็หลงในอำนาจนั้น แล้วก็ใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด เปรียบได้กับคนขี่หลังเสือ เหมือนจันพอมารู้ความจริงในภาคนี้ว่าเขาคือเจ้าของบ้านตัวจริง มันก็ทำให้พฤติกรรมของจันเป็นไปในทางที่รุนแรงมาก เพราะว่ามีความแค้นสุมอยู่ข้างใน ประกอบกับการที่จันจริงๆ แล้วเป็นคนหัวอ่อนมาก เป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่มาก แล้วก็โดนคุณท้าวยายเสี้ยมสอนให้โกรธคุณหลวงมากขึ้นๆ รวมถึงได้สัญญากับคุณท้าวยายด้วยว่าจะแก้แค้นและเอาทุกอย่างคืนกลับมาเพื่อตระกูลพิจิตรวานิช ทั้งหมดนี้มันจึงเป็นแรงผลักดันที่รุนแรงมาก

เปรียบได้กับมนุษย์ ซึ่งบางทีเราทำความรุนแรงอะไรก็ได้โดยยึดความกตัญญูในบรรพบุรุษ บางครั้งตรงนี้ก็ก่อให้เกิดสงครามได้ ซึ่งในเรื่องของจันดาราจะเป็นสงครามภายในบ้าน แต่ถ้าเปรียบเทียบจริงๆ แล้วสงครามในโลกนี้ ในประเทศต่อประเทศก็เช่นกัน ทุกคนรักและกตัญญูในประเทศของตน ฉะนั้นต่างก็จะมองในมุมของตัวเองมุมเดียวที่จะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และความเจริญของครอบครัวหรือประเทศตนเอง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ตอนจบจะแสดงให้เห็นถึงความหายนะของมนุษย์คนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อครอบครัว ซึ่งจริงๆ แล้วความกตัญญูเป็นไปได้หลายทาง ถ้าเป็นไปในทางบวกก็จะเป็นสิ่งที่บวก แต่จันดาราเลือกที่จะใช้พลังทางด้านลบในการแก้แค้นครั้งนี้ ตอนจนของเรื่องก็จะสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ที่หลงอำนาจในทางที่ผิด ท้ายที่สุดแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไร”

กฎแห่งกรรม วัฏจักรแห่งชีวิต

ทุก “การกระทำ” ของทุกตัวละครใน “จันดารา ปฐมบท” ล้วนได้รับ “ผลกรรม” ที่ตนได้ก่อขึ้นมาแต่อดีตด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “กุศลกรรม” หรือ “อกุศลกรรม”

ฉะนั้น ใน “จันดารา ปัจฉิมบท” จึงเปรียบเสมือนกระจกส่องผลแห่งการกระทำของมนุษย์ที่เวียนว่ายอยู่ในวังวนแห่งตัณหาราคะอันเป็น “วัฏจักรแห่งชีวิต” ซึ่งไม่อาจมีผู้ใดจะหลีกหนีพ้นไปได้ อันเป็นพระสัจธรรมในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกมองข้ามไปของมนุษย์ในยุคแห่งโลกาภิวัตน์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้

          “คือความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าเราจะเดาเรื่องไม่ออก เราจะคิดไม่ถึงเลยว่าตัวละครแต่ละตัวจะมีการพลิกผันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น จัน ดาราในปฐมบทกับปัจฉิมบทก็จะต่างกันมาก ภาคแรกจะดูเป็นศิลปินอารมณ์อ่อนไหว เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนฉลาดมาก ชอบอ่านหนังสือฝรั่ง เพราะฉะนั้นมันมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเขาอ่านหนังสือเยอะ เขารู้อะไรเยอะ ยิ่งทำให้เขามีแผนการในการแก้แค้นได้แยบยลมาก รู้จักปรับตัวเอง โดยอ้างเอาความกตัญญูมาใช้เป็นเครื่องมือ แต่จริงๆ จันเองก็มีความแค้นในตัวคุณหลวงมาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งคุณแก้วเองก็ได้ทำร้ายจิตใจจันมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่จะกลับไปแก้แค้นทั้งคุณหลวงทั้งคุณแก้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งเขารู้ว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้จริงๆ เขาจึงมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะทำร้ายทั้ง 2 คนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ตัวละครต่างๆ ก็จะมีการพลิกผันไปตามสถานการณ์ เช่นคุณบุญเลื่องเองเมื่อรู้ว่าสามีของตนตกอยู่ในอันตราย ก็ต้องช่วยเหลือและก็มีการใช้กามารณ์เป็นเครื่องมือในการต่อรองกันอีกครั้งหนึ่ง จันเองก็ใช้กามารณ์เป็นเครื่องมือเป็นอาวุธในการเอาชนะคุณหลวงด้วยการมีสัมพันธ์ทางเพศกับคุณบุญเลื่อง ซึ่งตัวคุณบุญเลื่องเองก็กลัวว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่แล้วก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อรักษาชีวิตของคุณหลวงเอาไว้ เพราะเกรงว่าจันจะทำร้าย ซึ่งมันก็เหมือนกงเกวียนกำเกวียน ซึ่งสิ่งนี้น้าวาดก็เคยต่อรองกับคุณหลวง เพราะเกรงว่าคุณหลวงจะทำร้ายชีวิตจันในภาคแรกนั่นเอง

ส่วนน้าวาดเองก็แก่แล้วก็รู้สึกว่าจันคือเจ้าของบ้านไปแล้ว แล้วตัวเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่แล้ว แต่เมื่อเขาเห็นจันได้กระทำพฤติกรรมที่เกินเลย ก็เลยกลับไปอยู่ที่พิจิตร

ส่วนเคน กระทิงทองก็อยู่รับใช้จันอยู่ห่างๆ เพราะตัวเองมีครอบครัวแล้ว ก็คอยตักเตือนจันในฐานะเพื่อนรัก แต่จันที่เมื่ออยู่ในฐานะที่มีอำนาจสูงสุดขณะนั้นแล้วเขาไม่ฟังใครทั้งนั้น ทำร้ายแม้กระทั่งเคน กระทิงทองเพื่อนสนิทได้

ส่วนคุณหลวงก็จะตกในสภาพเดียวกับจัน เรื่องจะเป็นการหมุนกลับไปสู่ภาคปฐมบทเหมือนกงเกวียนกำเกวียน คุณหลวงเองก็จะกลายเป็นจันในภาคที่หนึ่ง คุณหลวงจะเป็นผู้ถูกกระทำอย่างรุนแรง เหมือนที่ตัวเองเคยได้กระทำกับจัน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ท่านผู้แต่งได้สอดแทรกกฏแห่งกรรมได้ชัดเจนและชาญฉลาดมากในการประพันธ์เรื่องนี้

คือแก่นของเรื่องจริงๆ ก็คือเรื่องธรรมะนั่นเอง เป็นกงเกวียนกำเกวียนของชีวิต ใครทำอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น ใครมีพฤติกรรมบวก ชีวิตก็เป็นบวก ใครมีพฤติกรรมลบ ชีวิตก็เป็นลบ ท้ายสุดก็จะเป็นหนังพระพุทธศาสนาโดยแท้ ให้เห็นความไม่เที่ยงของชีวิต ให้เห็นความหายนะของคนที่ไม่รู้จักพอ แล้วก็อยู่ในวังวนของกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงกามารมณ์อย่างเดียว แต่มันรวมถึงการแสวงหาอำนาจ เพราฉะนั้นเป็นสัจธรรมมาก

ท้ายสุดแล้วจันก็ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ตัวเองยึดติดเอาไว้ตลอดเวลา มันไร้ค่าสิ้นดี จันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวปราศจากคนแวดล้อม กลายเป็นคนแก่ที่อยู่กับทรัพย์สมบัติที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทรัพย์สมบัติที่รักษาเอาไว้ตลอดชีวิตมันกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า การมีชีวิตที่มีความสุขและมีคนแวดล้อมอยู่อย่างอบอุ่นต่างหากที่มีคุณค่าในชีวิต

บทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ความสุขที่แท้จริงคืออะไร คือความสุขสงบ การได้อยู่ในแวดล้อมของบุคคลที่รักเรา ในขณะที่ชีวิตของจันไม่มีใครอยู่รอบข้างเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะสอนให้คนรู้จักปล่อยวางในทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนั่นเอง”

ที่มา:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บันทึกภาพ:  สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
นำเสนอโดย www.starupdate.com หากนำข่าวไปใช้กรุณาอ้างอิงถึง www.starupdate.com ด้วย
ข่าวนี้อยู่ในหมวด Movie Update และ Tag: , , , , , , , , , , , , ติดตาม comment ของข่าวนี้ผ่านทาง RSS feed
Trackbacks are closed, but you can post a comment.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สยามพารากอน สาดความมันส์ ฉลองเทศกาลมหาสงกรานต์สุดยิ่งใหญ่ ยกทัพศิลปินแถวหน้าของเมืองไทยกว่า 100 ชีวิต มอบความสนุกทั่วทุกพื้นที่ นำทีมโดย “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “บิวกิ้น- พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” ระหว่าง 9-16 เม.ย.ศกนี้ ณ สยามพารากอน >>

มาริโอ้ – เก้า สองเฟรนด์ ออฟ ลองจินส์ ประเทศไทย พาชมนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ประจำปี 2024  >>

กัมพูชาต้อนรับ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ร่วมงาน “Thai Star Meet & Greet 2023” >>

น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง ส่ง 2 เพื่อนซี้คอบอล “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “นิกกี้ ณฉัตร” นำทัพส่งแชมป์ “ช้าง ยู-แชมเปี้ยน คัพ 2023” เหินฟ้าไปสัมผัสประสบการณ์ฟุตบอลระดับโลกที่ประเทศอังกฤษ >>

มาริโอ้ คาริสม่าพุ่ง! สวมใส่ไฮ จิวเวลรี่ “บิวตี้ เจมส์” >>